วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปราชญ์สนทนา

เมื่อปราชญ์กับนักวิทยาศาสตร์สนทนากัน




นักวิทย์ : ท่านทราบหรือเปล่าว่าอีกไม่นานมนุษย์คงไม่ต่างจากพระเจ้า มันหมายความว่าอีกไม่นานมนุษย์จะมามารถเป็นพระเจ้าได้

ปราชญ์ : อะไรที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้น

นักวิทย์ : ตอนนี้เรากำลังเอาชนะความตาย เรากำลังจะสร้างชีวิตด้วยการโคลนนิ่ง เราไขความลับของจักรวาลไปมากมายเหลือเกิน เรากำลังจะสร้างวิทยาการที่ทำให้เราเดินทางไปได้ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับแสง

ปราชญ์ : นั่นเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด แลทั้งยังดูห่างไกลจากความจริงเสียด้วย

นักวิทย์ : แต่เราเข้าใกล้มันทุกวัน

ปราชญ : เหมือนที่ท่านเดินเข้าหาความตายนั่นแหละ ฉันจะเชื่อว่ามนุษย์เป็นพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อมีมนุษย์ทำในสิ่งเหล่านี้ได้
ข้อแรกฉันอยากให้พวกท่านสร้างมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่งโดยใช้วิทยาการทุกอย่างของท่าน เลือกพ่อแม่ของเด็กคนนั้นจากคนที่ฉลาดที่สุด กำจัดยีนที่ไม่ดีของเด็กคนนั้น แต่เมื่อเด็กคนนั้นถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ท่านจงเลี้ยงดูเขาในห้องสีขาวและปิดตายห้องนั้น ให้เพียงอาหารและอากาศให้กับเขา ถ้าหากวันหนึ่งที่เขาสามารถอุทานได้ ไม่ว่าด้วยภาษาใดก็ตาม หากเขาอุทานเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล การกำเนิดชีวิต ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ความตายของมนุษย์ กฏหมายที่สร้างความยุติธรรมหากเขาสามารถอธิบายเรื่องเหล่านี้เหมือนความรู้ที่พวกท่านมี ฉันคงเชื่อว่ามนุษย์เป็นพระเจ้าได้ เพราะคุณสมบัติของพระเจ้าคือผู้รอบรู้ และผู้รอบรู้ย่อมไม่ต้องการการเรียนรู้ใดๆ

ข้อสองฉันอยากให้ท่านทำลายจักรวาลนี้ทั้งหมด แล้วจงสร้างจักรวาลนี้ใหม่ พวกท่านไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่จากสิ่งที่ไม่มีเหมือนที่พระเจ้าสร้างก็ได้ ฉันต่อให้ท่านสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาใหม่จากสิ่งที่เหลืออยู่จากการทำลายล้างจักรวาลของท่าน ฉันคิดว่าการทำลายนั้นง่ายกว่าการสร้างสรรค์ หากท่านทำลายจักรวาลนี้ได้ทั้งหมดงานของท่านสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะทำลายท่านควรจะหาเส้นขอบของจักวาลก่อนเสียเถอด เพราะจะทำให้ท่านเริ่มทำลายจากนอกเข้ามาใน มันจะทำได้ง่ายขึ้น

ฉันเป็นเพียงปราชญ์ที่ขลาดเขลาในวิทยาการของพวกท่าน ที่ฉันรู้ดีว่าอำนาจที่พวกท่านมองไม่เห็นเป็นอำนาจที่พวกท่านไม่มีวันเข้าถึงหรือเทียบเคียงได้

จุดสูงสุดแห่งความศิวิไลซ์(Civilization) คือจุดต่ำสุดแห่งจิตวิญญาณ(spirituality)



หากเอ่ยนามของนักร้องแร็ปชื่อไม่ค่อยดัง ที่เริ่มมีชื่อเสียงไม่ค่อยโด่งดังเมื่อประมาณซัก 4-5 ปีที่แล้ว หลายท่านในที่นี้คงไม่รู้จัก(ก็ไม่ค่อยดัง จะรู้จักได้อย่างไร) ผมเองก็ไม่รู้จัก แต่เผอิญการท่องเน็ตของผมในวันนี้ได้เจอกับชายที่อยู่ในคลิปนี้

หากเอ่ยชื่อของ Loon ให้กับสาวกดนตรีแรปหลายคนคงจะรู้จักมักคุ้นดี แต่คนทั่วไปอย่างผมไม่รู้จักเขาเลย ความน่าสนใจที่ผมอยากนำเสนอให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในเฟซนี้ได้รับรู้หาใช่เรื่องราวของดนตรีแรป แต่มันเป้นเรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำแห่งความศิวิไลซ์ มาสู่ผู้เผยแพร่หลักคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง

ในปี 2008 ขณะที่ชื่อเสียงของ Loon โด่งดังที่สุดในช่วงอาชีพของการเป็นนักร้องของเขา เพลงของเขาสามารถเข้าไปอยู่ใน Billboard chart และ UK chart ได้หลายเพลง เขาสังกัดอยู่ในค่ายเพลงของ P. Diddy's Bad Boy Records. ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่ยิ่งใหญ่ในวงการแรป การตระเวณทัวร์เพื่อแสดงคอนเสริต์ทั่วโลกของเขาจึงได้มีขึ้น เขาเดินทางไปหลายประเทศมากมาย หนึ่งในประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอย่าง UAE ก็ยังอุตส่าห์เชิญนักร้องคนนี้ไปออกคอนเสริต์ในประเทศ

ใครจะไปเชื่อว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะไปเผยแพร่ความงมงายแห่งศิวิไลซ์ กลับต้องมาสยบและจำยอมต่อคำสอนอันเที่ยงแท้ของอิสลาม ณ ดินแดนที่มุสลิมในประเทศเชิญชวนเขาเข้ามาทำลายความเป็นอิสลาม และมันก็เกิดขึ้นจริงครับ Loon ได้เข้ารับอิสลาม ด้วยต้นเหตุที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ วันแรกๆที่เขาไปอยู่ในเอมิเรต นั้นทุกๆเช้าในขณะที่เขานอนหลับอยู่เขาจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่สร้างความสงบในจิตใจของเขาอย่างมาก เขานั่งนิ่งฟังมันอย่างตั้งใจ และสอบถามผู้คนในละแวกนั้นว่ามันคือเสียงอะไร ชายคนหนึ่งตอบว่า มันคือเสียง อาซาน เป็นเสียงที่เรียกร้องให้มุสลิมไปมัสยิดเพื่อทำการละหมาด หลังจากนั้นเขาจึงขอให้ใครซักคนพาเขาไปที่มัสยิด ที่นั่นเขาประทับใจในความสงบที่ชีวิตสัมผัสได้ จากบรรยากาศของบรรดาผู้ที่เข้ามาละหมาด ลูนกลับไปประเทศของตนเองพร้อมด้วยคำถามคำโตเกี่ยวกับอิสลาม เขาเริ่มศึกษาอิสลามด้วยตนเอง และเข้าไปหาผู้รู้ หลังจกานั้นเขาจึงเข้ารับอิสลาม กลายเป็นมุสลิมและเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Amir Junaid Muhadith ความจริงแล้ว Amir รู้จักศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เขาเติบโตในย่าน Harlem ของเมือง Newyork ซึ่งที่นั่น มีมุสลิมผิวดำมากมาย แต่เขาไม่รู้สึกสนใจอะไรในอิสลามเลย


ในทัศนะของการมีความสุขตามแบบฉบับของชาวตะวันตก ผู้ใดที่ครอบครองความร่ำรวย เกียรติยศ และ ชื่อเสียง ก็ถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว Loon ในวันนั้นมีรายได้ปีละหลายล้านดอลลาส์ เขาสามารถเดินเข้าไปในไนต์คลับแล้วหิ้วสาวๆคนที่เขาชอบใจไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย เขาสามรถซื้อความสนุกที่มีราคาแพงมากมาย(สังเกตุในคลิปที่ผมติดมาให้น่ะครับ เป็น MV ของ Loon ดูแล้วไม่อยากจะเชื่อว่าเปลี่ยนมาได้ขนาดนี้) สิ่งเหล่านี้ Amir ได้ครอบครองมันหมดแล้ว แต่เขาคิดว่า เขาไม่เคยเจอกับความสุขที่แท้จริงเลย จนเมื่อเขาได้เข้ารับอิสลาม การยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง และการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอิสลาม ทำให้เขาได้พบความสงบสุขในหัวใจของเขาอย่างแท้จริง



หลังเข้ารับอิสลาม Amir ได้ยกเลิกทัวร์การแสดงของเขาทั้งหมด แล้วหันมาศึกษาอิสลามอย่างแท้จริง เขาเดินทางไปอุมเราะฮทันทีหลังเข้ารับอิสลาม และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในวิถีชีวิตใหม่ของเขา ปัจจุบัน Amir ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการบรรยายตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หรือลานกลางแจ้ง Amir ก็ไม่เคยเกี่ยง การจับไมค์ครั้งใหม่ของ Amir ย่อมมีความแตกต่างกัน เสียงพูดของเขาไม่มีดนตรีมาขับจังหวะ ไม่มีการเชิญชวนให้ผู้คนกลับไปสู่ความงมงาย และแสวงหาความสำราญ แต่เสียงของเขาคือเสียงที่เรียกร้องให้ผู้คนกลับไปสู่พระเจ้าที่แท้จริง
ไม่มีใครซื้อตั๋วมานั่งฟังสิ่งที่เขาพูด ไม่มีใครเมามายเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ คนมานั่งฟังเพื่อแสวงหาสัจธรรม ไม่ใช่มาฆ่าเวลาของตนเองเพื่อเสพความสนุกที่ไร้สาระ



ข้อสังเกตุและข้อสงสัยที่ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันขบคิดว่า เหตุใด ในโลกตะวันตก เราพบว่าผู้นำแห่งการดะวะฮ มีมากมายหลายคนเลยทีเดียว ที่ก่อนหน้านี้เป็นกาฟิรมาก่อน Yusuf Islam ,Bilal Phillips, Yusuf Esstatte, Khaled Yaseen คือชื่อของดาอีย์ระดับโลกที่เชิญชวนผู้คนให้หลั่งใหลเข้ามารับอิสลาม แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้สร้างชื่อให้ชาวโลกรู้จักก่อนที่จะเข้ามารับอิสลาม พูดง่ายๆคือ ผมจะถามว่า ทำไมโลกตะวันตก คนดังหลายต่อหลายคนเข้ารับอิสลาม และ หลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว ก็กลายมาเป็นแนวหน้าแห่งการดะวะฮ ในขณะที่โลกตะวันออกนั้น แทบจะนึกชื่อใครไม่ออก(ที่เป็นคนดังระดับโลกน่ะครับ)



บทสรุปสุดท้ายนี้ผมอยากให้พี่น้องอย่าเพิ่งยินดีกับการที่มีกาฟิรระดับโลกมากมายที่เข้ารับอิสลามน่ะครับ เพราะในขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีมุสลิมระดับโลกมากมาย ที่เป็นคนดังแห่งโลกญาฮิลอยะฮ อย่างเช่น DJ Khaled ที่เป็นลูกหลานของชาวปาเลสไตน์แต่ไปโตในอเมริกา (ขอยกตัวอย่างคนเดียวน่ะครับแต่ถ้าสนใจสามารถเข้าไปหาอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้น่ะครับ)http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_American_Muslims

เรื่องของ Amir วันนี้สอนให้ผมรู้ว่า บุคคลที่อยู่แนวหน้าแห่งโลกศิวิไลซ์ คือบุคคลที่อยู่แนวหลังของความสูงส่งทางจิตวิญญาณ

เมื่อใดที่คนคนหนึ่ง สามารถลิ้มรสความสงบสุขที่แท้จริงแล้ว ความสงบจอมปลอมทั้งหลายก็มลายหายไปทันที
วัลลอฮฮุอาลัมครับ


อยากดูเป็นวิดีโอ ที่นี่เลยครับ