วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สังคมหลากหลาย

มนุษย์นั้นคืออิสระชน 
แม้จะมีกรอบข้อบังคับกฎระเบียบต่างๆเพื่อควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติแล้ว แต่มนุษย์ก็มีสิทธิในการเลือกจะทำหรือไม่ทำตามข้อตกลงเหล่านั้น ความต้องการเป็นอิสระของมนุษย์นั้นมีค่าเป็นอนันต์ หากเลือกได้ ทุกคนต้องการอิสระโดยไร้ข้อจำกัดใดๆของอิสรภาพ


เอกลักษณ์ของมนุษย์ที่นิยมในอิสรภาพ เป็นสาเหตุสำคัญของความแตกต่างกันของมนุษย์ อิสรภาพทางความคิด นำมาซึ่งการปฏิบัติที่แตกต่าง


เมื่อแรกเกิด สมองของมนุษย์นั้นว่างเปล่า เรามีเพียงสัญชาติญาณสำคัญบางอย่างที่ทำให้เราสามารถมีชีวิตได้ ทักษะในการร้องเมื่อหิวหรือไม่สบายตัว ทักษะในการดูดและกลืนนมแม่ ทักษะในการหายใจเข้าออกตามปริมาณอากาศที่ต้องการสันดาปพลังงาน เหล่านี้เป็นทักษะเริ่มต้นตามสัญชาตญาณมนุษย์ เราทุกคนล้วนเกิดมาในสภาพของผ้าขาวบริสุทธิ์


จนกระทั่งเมื่อสมองของเราพัฒนาด้านการฟังและการมองเห็น แวดล้อมทั้งกายภาพและชีวิภาพ กลายเป็นอาหารสำคัญของสมอง ที่จะพัฒนาเชื่อมต่อข้อมูลทั้งหลายที่เข้ามาจากการรับรู้สองประการนั่น เป็นอารมณ์ ความคิดอ่าน บุคลิกภาพการแสดงออก อิทธิพลของการพัฒนาความเป็นมนุษย์ทั้งหมดของคนหนึ่งคน จึงเริ่มต้นและมีกระบวนการเดียวกัน


ณ สภาพแวดล้อม ผู้ปกครอง ที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์แต่ละคนบรรจุข้อมูลที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ในรายละเอียด แทบจะบอกได้เลยว่า มนุษย์ทั้งหมดที่เคยมีชีวิตในสากลโลกนี้ ไม่มีอะไรที่รับรู้มาเหมือนกันอย่างแท้จริงแน่ๆ เมื่อรับรู้ไม่เหมือนกันแล้ว จึงนำมาซึ่งอีกภาวะหนึ่งคือ เราไม่สามารถผลิตมนุษย์ที่คิดเหมือนกันได้โดยสัมบูรณ์ ไม่ว่าจะสองคนหรือมากกว่านั้นก็ตาม


การดำรงอยู่ในสภาวะที่มีความคิดเห็นที่หลากหลายในสังคม เกิดขึ้นจากบริบทของข้อมูลที่รับมาแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ การวางคุณค่า (Value) ของทุกมิติในชีวิตมนุษย์ มีความหลากหลาย

คุณค่า ในที่นี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากว่าสิ่งใดคือความถูกต้อง สิ่งใดคือความไม่ถูกต้อง ตราบที่มนุษย์ไม่สามารถ รวบรวม จุดกำเนิดของความรู้และข้อมูลทุกสิ่ง ( Origin of the everything ) ให้เป็นหนึ่งเดียวได้ มนุษย์จำต้องยอมรับความหลากหลายที่เกิดขึ้นให้ได้

การปะทะกันในทุกระดับความสัมพันธ์ของมนุษย์ เมื่อพิจารณาดูดีๆ เราจะพบว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมด เกิดขึ้นเนื่องจาก การพิจารณา คุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งทับซ้อนกัน เมื่อทับซ้อนแล้ว นำมาซึ่งปรากฏการณ์ที่ตามมาที่ลดค่า หรือเพิ่มคุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือขับให้คุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป ( Marginalization )

ไล่ตั้งแต่ปัญหาในครัวเรือน ที่เมื่อภรรยามือใหม่ทำกับข้าวไม่ถูกปากสามี จนสามีตำหนิติเตียนอาหาร ก็เกิดจากการให้คุณค่าในสิ่งที่ต่างกัน ภรรยามองว่าคุณค่าของอาหารคือการตั้งใจทำให้สามีทานทั้งๆที่ในชีวิตไม่ใคร่ได้ทำอาหารให้ใครได้ทาน แต่สามีให้คุณค่าของอาหารด้วยรสชาต ครั้นเมื่อได้รับอาหารที่ไม่ถูกปาก ซึ่งเป็นคุณค่าสูงสุดที่สามีพิจารณาอาหาร ก็ออกปากตำหนิอาหาร นั่นเป็นการทับซ้อนกันของการให้คุณค่าอาหาร จนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น

การแสดงลักษณ์ของสังคมใดสังคมหนึ่ง หากจุดที่มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ควรแสดงเป็นอัตลักษณ์แตกต่างกัน ก็นำมาซึ่งปัญหาได้ ในความขัดแย้งระดับพื้นที่ หากคนกลุ่มหนึ่งเห็นคุณค่าการแสดงลักษณ์ควรเหมือนดั่งเช่นบรรพบุรุษได้ดำเนินกันมา ส่วนอีกกลุ่มมองว่าความศิวิไลซ์เช่นเดียวกับโลกที่อารยะทางวัตถุเป็นกันอยู่เป็นสิ่งมีคุณค่า และต่างฝ่ายต่างนำเสนอเพื่อให้คุณค่าในแบบที่ตัวเองตีความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดทั้งสองฝ่ายแล้ว อัตลักษณ์ที่คนในสังคมนั้นพึงต้องแสดง จะกลายเป็นข้อพิพาท เพราะการเห็นต่างของคุณค่าของอัตลักษณ์

ในปัญหาระดับประเทศ ที่ปริมาณน้ำมีจำกัด แต่มีคนต้องการใช้น้ำกันมาก ชาวนาเห็นคุณค่าของน้ำเป็นลมหายใจของผลิตผลการเกษตรของตัวเอง ซึ่งต่อทั้งลมหายใจของข้าวและตัวชาวนาไปด้วยกัน ส่วนฝ่ายปกครองมองว่าคุณค่าของน้ำอยู่ที่การได้เลี้ยงดูผู้คนตามบ้านเรือนปลายน้ำอีกหลายล้านคนให้มีน้ำกินน้ำใช้ไม่ขาดช่วง คุณค่าที่ขัดแย้งกันในบริบทของทรัพยากรที่มีจำกัดก็นำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้ง

เมื่อพิจารณาเรื่อง คุณค่า ที่ไม่ข้อขัดแย้ง เราจะพบว่าในสังคมที่มีการให้คุณค่าไปในทางเดียวกันทั้งหมด พื้นที่แห่งนั้นจะมีความสงบ สันติ ไม่ว่าคุณค่านั้นๆจะเป็นเรื่องประหลาดสำหรับคนอีกสังคมหนึ่งก็ตาม

สมมติตัวอย่างเช่น ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง ที่สร้างบริบทในการมอง คุณค่าสูงสุด ของสตรีเป็ฯเรื่องของการปกปิดเพื่อละอารมณ์ใคร่ ด้วยการแต่งกายแบบคลุมมิดชิปกปิดทั่วทั้งเรือนร่าง การแต่งกายเช่นนี้คือการให้คุณค่าแก่สตรี ณ บริบทของสังคมนั้น ร้อยทั้งร้อยของคนในสังคมเห็นเป็นเช่นเดียวกัน สตรีทุกคนที่อยากมีคุณค่าตามที่บริบทสังคมคิดเห็น ก็แต่งกายเช่นนั้น และยอมรับในเงื่อนไขอื่นๆที่เป็นอุปสรรคของการแต่งกายเช่นนี้ได้หมด ไม่ว่าจะร้อน จะอับ จะต้องใช้เนื้อผ้ามากก็ตาม หากคนทุกคนในสังคมเห็นเช่นเดียวกัน ก็จะไม่มีแรงขับต้านและไม่มีความขัดแย้งทั้งทางความคิดและการกระทำ 

จนเมื่อหากมีการปะทะกันทางความคิดของการให้คุณค่า จากอีกสังคมหนึ่ง ที่กำหนด คุณค่าสูงสุด เป็นเรื่องเสรีภาพและความสวยงามทางเพศสภาพ การแต่งกายของสตรีในบริบทอีกสังคมหนึ่ง ก็จะให้คุณค่าสตรีที่แต่งกายได้งดงาม เปิดเผยสัดส่วนธรรมชาติของสตรีบ้าง เพื่อให้มนุษย์อื่นๆได้ชื่นชมความงดงาม นี่ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งในการมองและให้คุณค่าในประเด็นเดียวกันคือ เครื่องแต่งกายสตรี ตราบที่สองความคิดนี้ไม่ปะทะและปะปนในชุมชนความคิดเดียวกันแล้ว ทั้งสองสิ่งจะเป็นสิ่งมีคุณค่า ในบริบทของของสังคมที่สอดรับกับคุณค่าที่สังคมให้ไว้

แต่หากวันหนึ่ง มีการนำ คุณค่า ของสังคมในบริบทหนึ่ง มาใช้กับอีกบริบทหนึ่ง เมื่อนั้นก็ต้องมีกระบวนการในการปะทะกันทาง คุณค่าที่สังคมนั้นๆได้ให้ไว้ จนเมื่อถึงจุดอิ่มตัวของการปะทะกันทางคุณค่า (Equilibrium state) สังคมจะได้ คุณค่าใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าสำหรับการให้คุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กระบวนการเช่นนี้ผมขอเรียกว่า วิวัฒนาการทางวัฒนธรรม
การวัดคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผ่านบริบทเดียว แบบที่เรายึดติดและให้คุณค่าเท่านั้น จะนำมาซึ่งการปะทะกันของทัศนคติและคุณค่าเสมอ 

จงอย่าลืมว่า คุณค่า และทัศนคติ ที่มาจากมนุษย์เจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้และที่ตายไปแล้วหลายพันล้านคน ไม่มีทางเหมือนกัน 

โลกที่สันติจริงๆมีอยู่สองทาง ทางแรกคือทำให้คนคิดเห็นเช่นเดียวกันหมด ทางที่สอง ให้มนุษย์นั้นมองเห็นคุณค่าสิ่งต่างๆให้แตกต่างกันได้ และอดกลั้นในความแตกต่างกัน


ข้อสรุป ณ จุดที่ผมเห็นโลกมาไม่กี่ปี บอกผมว่า เราไม่มีทางไปในจุดที่มีสันติจริงๆในโลกได้ ทั้งสองทางเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การทำให้คนทั้งโลกให้คุณค่าทุกเรื่องเป็นสิ่งเดียวกันเป็นไปไม่ได้ ส่วนการทำให้ทุกคนยอมรับคุณค่าทีแตกต่างกันโดยไม่ยุ่งคุกคามแก่กันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ตราบที่สถานะทางอำนาจของคู่กรณีไม่เทียมเท่ากัน หมอแผนปัจจุบันที่ลดพื้นที่ของหมอแผนโบราณ เพราะหมอแผนปัจจุบันเชื่อมั่นและให้คุณค่า ในการหาความรู้เชิงประจักษ์ ( Evidence base medicine ) ส่วนหมอแผนโบราณให้คุณค่าของความรู้ในฐานะที่เป็นความรู้ที่เร้นลับ สองคุณค่านี้ไม่มีทางพบกันได้ และเดิมพันของการให้คุณค่านี้คือชีวิตของมนุษย์ ความเชื่อมั่นในคุณค่าเช่นนี้ บวกกับสถานะของอำนาจในแพทย์แผนปัจจุบันสูงกว่า จึงลดพื้นที่ของแพทย์แผนโบราณไปเยอะ การมองคุณค่าแตกต่างกันในหลายๆประเด็น ที่เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย เป็นผลประโยชน์ เป็นเรื่องที่มีแรงจูงใจสูงในการเปลี่ยนแนวทางการให้คุณค่า จึงไม่สามารถรักษาให้การตีความคุณค่าที่หลากหลายเกิดขึ้นได้


ขอโทษที่เขียนอะไรยาวๆให้อ่าน 

หวังอย่างเดียวว่า เราๆทั้งหลายจะเข้าใจถึง คุณค่า และ ความเห็นต่างกันบ้าง หากเข้าใจประเด็นนี้ แล้วสันติจะมีมากขึ้นซักหนึ่งนาโนหน่วย ก็ดีใจแล้วครับ


วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ยาก-ง่าย

ใครเคยเป็นแบบนี้บ้าง เวลาทำงานกลุ่มที่ต้องทำร่วมกับเพื่อนหลายๆคน มีงานง่ายๆกับงานยากๆ ให้เลือกต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีโอกาสเรามักจะเลือกงานง่ายๆมาทำก่อน ผมคิดว่าภาวะนี้ ทุกๆคนคงต้องเคยเป็นมาบ้าง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ใครละจะไปเลือกงานยาก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมมานั่งไตร่ตรองแล้วค้นพบทางออกของการทำให้เราสามารถรับงานยากด้วยความสมัครใจ


ง่าย หรือ ยาก ของแต่ละคนเป็นเรื่องที่กว้างมาก เพราะบรรทัดฐาน ความถนัด ต้นทุน ที่แต่ละคนมีก็แตกต่างกัน ง่ายของคนหนึ่งอาจเป็นเรื่องยากของอีกคน ไม่ใช่เรื่องแปลก  แต่ลองสังเกตกันดีๆ ว่า ความยากของงานแต่ละอย่างที่เราต้องเจอนั้น มักจะลดลงเรื่อยๆตามจำนวนครั้งที่เราเจองานเหล่านั้น ครั้งแรกที่เราต้องเจองานยาก ความยากมันอาจจะอยู่ที่ระดับ 100 คะแนน ทำครั้งที่สองเหลือความยาก 99 ทำไปร้อยครั้ง ความยากก็เหลือ 0 พอดี นั่นเป็นเชิงทฤษฎีที่พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คนบางคนอาจจะลดระดับความยากเหลือ 0 ตั้งแต่ ครั้งที่สองหรือสามเลยก็ได้ แต่ยืนยันได้เลยว่าสิ่งที่เรารู้สึกว่าง่ายๆในชีวิตประจำวันเราทำทุกวันเนี่ย ล้วนต้องผ่านครั้งแรกๆที่ยากกว่า ณ ขณะนี้แน่ๆ
ผมจะพูดให้ความอยากทำเรื่องยากเพิ่มขึ้นอีกนิดนะครับ สมมติว่าในโลกเรานี้ มีกิจการทั้งหมด 10,000 กิจการ หากว่าเราสามารถเปลี่ยนกิจการเหล่านี้จากเรื่องยาก ให้กลายเป็นเรื่องง่ายทีละกิจการ การใช้ชีวิตบนโลกนี้ของเราก็จะเหลือเรื่องยากให้เราทำน้อยลงเรื่อยๆ แล้วแบบนี้ เราจะรอช้าเพื่อให้ชีวิตเจอแต่เรื่องง่ายๆทำไมกัน


ผมบอกไปแล้วว่าทางทฤษฎี หากใช้มุมมองแบบบวกอย่างเดียว ใครๆก็อยากวิ่งเข้าหาเรื่องยากๆอย่างที่ผมเกริ่นไปแล้วว่าผลดีมันเป็นไงบ้าง แต่ในชีวิตจริง ใครบ้างละที่อยากจะเจอกับความผิดพลาด คนที่ทำเรื่องยากโอกาสจะประสบความสำเร็จก็น้อยกว่าคนที่ทำเรื่องง่าย ความล้มเหลวสำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเลย แล้วยิ่งเวลาที่ต้องทำงานยากก็เยอะกว่า เวลาในชีวิตประจำวันของเราก็น้อยๆกันอยู่แล้ว ใครละอยากให้เวลาเราน้อยลงไปอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พบว่าคนส่วนใหญ่ที่เราพบเจอกันทุกวันนี้จึงนิยมเสพเรื่องง่ายๆที่ชีวิตสามารถทำได้ทุกวันอยู่แล้ว  


นักจิตวิทยาท่านหนึ่งชื่อ Prof. Daniel T. Willingham ได้พูดถึงเรื่องแรงจูงใจในการทำสิ่งใดซักสิ่งหนึ่งของมนุษย์ที่ต้องใช้ปัจจัยเรื่องความยาก-ง่ายในการตัดสินใจลงมือทำ เค้าว่าไว้ว่า การที่คนคนหนึ่งจะลงทำกิจการอะไรแล้ว สิ่งที่เป็นแรงจูงใจของการลงมือทำคือผลรางวัลที่ตามหลังความสำเร็จที่เกิดจากการงานนั้นๆ นอกจากรางวัลที่เป็นรูปวัตถุแล้ว สมองของเรายังสามารถหลั่งสารแห่งความสุขเมื่อเราสามารถบรรลุกิจการที่เราลงมือ ยิ่งเป็นกิจการที่ท้าทายและยากเพียงใด ความรู้สึกสุขใจจากการหลั่งสารความสุขนี้ก็จะมากขึ้น หากเป็นเรื่องง่ายๆคนนั้นก็สามารถจะทำให้สำเร็จได้บ่อยครั้ง จนมีความท้าทายน้อยลงความสุขก็น้อยลงด้วย การประเมินความยากง่ายของสมองเราจะประเมินจาก”ความจำรูปแบบ”ในการแก้ปัญหาเก่าๆที่เราสะสมมา หากประเมินแล้วเกิดความรู้สึกว่า”ยากเกินไป”เพราะไม่มีรูปแบบการแก้ปัญหาเก่าๆในสมองเลย สมองจึงจะสั่งให้ทำการ”คิด”  แต่หากประเมินแล้วมีความจำเรื่องรูปแบบการแก้ปัญหา ก็จะกลายเป็นปัญหาง่ายๆทันที โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกถนอมการใช้ความคิดนะครับ ความคิดจะถูกใช้เพื่อแก้ปัญหายากๆ นี่เป็นการลบล้างความเชื่อเก่าของเราที่เคยเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบคิดไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ

ย้อนกลับที่เรื่องยาก-ง่ายใหม่ สรุปแล้วย่อหน้าข้างบนบอกไว้ว่า การแก้ปัญหาของมนุษย์เรานั้นใช้”การจดจำ”ในการแก้ปัญหาเก่าๆแทบทั้งหมดและใช้”ความคิด”สำหรับปัญหาใหม่ๆ  เอาละ จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดจึงทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจมากขึ้นในการเชิญชวนผู้อ่านทุกท่าน ไปเผชิญหน้ากับปัญหายากๆให้มากขึ้น เพราะเราจะได้ใช้ความคิดในการแก้ปัญหา และจดจำรูปแบบการแก้ปัญหานั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องยากในปัญหาเดิมๆอีกต่อไป ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจากความล้มเหลวมันยังพอมีบ้าง แต่เชื่อเถอะเมื่อใดที่เราละทิ้งรูปแบบการจดจำรูปแบบการแก้ปัญหาแบบเก่าๆ แล้วเริ่มใช้ความคิดในการแก้ปัญหา เรื่องยากส่วนมากจะเปลี่ยนเป็นเรื่องง่าย เปลี่ยนให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่ายอาจจะไม่ใช่งานง่ายๆเหมือนชื่อ แต่อย่างที่บอกไม่มีอะไรยากตลอดกาลสำหรับคนพยายาม พูดถึงตรงนี้ผมเริ่มสับสนหมดแล้วอะไรง่ายอะไรยาก  เอาอย่างงี้ดีกว่า รีบปิดหนังสือ ปิดคอม แล้วไปหาปัญหายากๆที่ยังไม่ได้แก้ของชีวิตท่านกันเถอะ แล้วชีวิตมันจะง่ายเอง



ทดลองโปรเจกต์ในจินตนาการ"หนังสือสองมิติ" 
15/11/12

"ผมมักจะเลือกคนขี้เกียจให้ทำงานที่ยาก เพราะพวกเขาจะหาวิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ไขปัญหานั้น"
บิล เกตส์


Rachel Corrie "มนุษยธรรมที่ถูกบดขยี้ด้วยรถบด"

Rachel Corrie "มนุษยธรรมที่ถูกบดขยี้ด้วยรถบด"

วันที่ 16 มีนาคม 2003 หลังจากที่ราเชล เดินทางเข้าไปยังฉนวนกาซ่าได้ 3 วัน ในฐานะตัวแทน ขององค์กรน้ำใจสากล (International Solidarity Movement) หน้าที่หลักขององค์กรเธอคือการเข้าไปยังพื้นที่ที่มีความรุนแรง เดินทางเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้ความรุนแรง ในวันที่เธอเดินทางไปในพื้นที่แห่งนั้น เธอมีอายุเพียง 23 ปี
วันที่ 3 ของการใช้ชีวิตในดินแดนมิคสัญญีแห่งตะวันออกกลาง เป็นวันที่มีการบุกรุกเข้ายึดพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์โดยทหารอิสราเอล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่เธออยู่ในที่แห่งนั้น


ขณะที่รถบด Bulldozer ขนาดใหญ่ยักษ์ของกองทัพอิสราเอลกำลังบดขยี้บ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์อยู่นั้น ก็ปรากฏร่างหญิงสาววัยรุ่นยืนประจันหน้ากับรถบด พร้อมกับประกาศเสียงอันแข็งกร้าวผ่านโทรโข่ง เธอขอให้คนขับรถบดหยุดการทำลายบ้านเรือนของประชาชนเสียที และเธอก็ยืนหยัดอยู่ตรงนั้น
คนขับรถที่ไม่ได้ตาบอด ไม่ได้หูหนวก ไม่ได้โง่ แต่ไม่สามารถมองเห็นเธอ ไม่สามารถได้ยินเสียงของเธอ ขับรถบดบดขยี้ร่างที่ยืนตระหง่านตรงหน้านั้น เธอล้มลงและเสียชีวิตทันที ณ จุดที่มีการรื้อถอนความเป็นมนุษย์ของชาวปาเลสไตน์ เธอทิ้งชีวิตของเธอไว้ที่นั่น และอุดมการณ์ของเธอก็ฝังแน่นที่ดินตรงนั้น แตกกิ่งก้านไปทั่วโลก
ทุกวันนี้บรรดาผู้ใฝ่หาสันติภาพทั่วโลก จะรวมตัวกันเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของเธอในทุกวันที่ 16 มีนาคม ของทุกปี
ภาพวินาทีสุดท้ายของเธอ ถูกคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 16 ภาพที่ดีที่สุดในชุดภาพเพื่อการเรียกร้องสันติภาพ
เรื่องราวของคนบางคน จะมีคุณค่าหากเราเล่าขานต่อไปอย่างไม่จบสิ้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าเรื่องราวของเธอ มีคุณค่าพอให้ข้าพเจ้าหยิบยกมาเล่า
ปล.คดีความของเธอถูกนำไปขึ้นศาลในประเทศอิสราเอล โดยที่พ่อแม่ของเธอฟ้องหน่วยงานรื้อถอนในวันนั้นศาลสถิตความอยุติธรรมแห่งอิสราเอล ได้ตัดสินคดีความของเธอ โดยระบุว่าการตายของเธอเป็น "อุบัติเหตุที่น่าเศร้า"

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปราชญ์สนทนา

เมื่อปราชญ์กับนักวิทยาศาสตร์สนทนากัน




นักวิทย์ : ท่านทราบหรือเปล่าว่าอีกไม่นานมนุษย์คงไม่ต่างจากพระเจ้า มันหมายความว่าอีกไม่นานมนุษย์จะมามารถเป็นพระเจ้าได้

ปราชญ์ : อะไรที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้น

นักวิทย์ : ตอนนี้เรากำลังเอาชนะความตาย เรากำลังจะสร้างชีวิตด้วยการโคลนนิ่ง เราไขความลับของจักรวาลไปมากมายเหลือเกิน เรากำลังจะสร้างวิทยาการที่ทำให้เราเดินทางไปได้ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับแสง

ปราชญ์ : นั่นเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด แลทั้งยังดูห่างไกลจากความจริงเสียด้วย

นักวิทย์ : แต่เราเข้าใกล้มันทุกวัน

ปราชญ : เหมือนที่ท่านเดินเข้าหาความตายนั่นแหละ ฉันจะเชื่อว่ามนุษย์เป็นพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อมีมนุษย์ทำในสิ่งเหล่านี้ได้
ข้อแรกฉันอยากให้พวกท่านสร้างมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่งโดยใช้วิทยาการทุกอย่างของท่าน เลือกพ่อแม่ของเด็กคนนั้นจากคนที่ฉลาดที่สุด กำจัดยีนที่ไม่ดีของเด็กคนนั้น แต่เมื่อเด็กคนนั้นถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ท่านจงเลี้ยงดูเขาในห้องสีขาวและปิดตายห้องนั้น ให้เพียงอาหารและอากาศให้กับเขา ถ้าหากวันหนึ่งที่เขาสามารถอุทานได้ ไม่ว่าด้วยภาษาใดก็ตาม หากเขาอุทานเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล การกำเนิดชีวิต ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ความตายของมนุษย์ กฏหมายที่สร้างความยุติธรรมหากเขาสามารถอธิบายเรื่องเหล่านี้เหมือนความรู้ที่พวกท่านมี ฉันคงเชื่อว่ามนุษย์เป็นพระเจ้าได้ เพราะคุณสมบัติของพระเจ้าคือผู้รอบรู้ และผู้รอบรู้ย่อมไม่ต้องการการเรียนรู้ใดๆ

ข้อสองฉันอยากให้ท่านทำลายจักรวาลนี้ทั้งหมด แล้วจงสร้างจักรวาลนี้ใหม่ พวกท่านไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่จากสิ่งที่ไม่มีเหมือนที่พระเจ้าสร้างก็ได้ ฉันต่อให้ท่านสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาใหม่จากสิ่งที่เหลืออยู่จากการทำลายล้างจักรวาลของท่าน ฉันคิดว่าการทำลายนั้นง่ายกว่าการสร้างสรรค์ หากท่านทำลายจักรวาลนี้ได้ทั้งหมดงานของท่านสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะทำลายท่านควรจะหาเส้นขอบของจักวาลก่อนเสียเถอด เพราะจะทำให้ท่านเริ่มทำลายจากนอกเข้ามาใน มันจะทำได้ง่ายขึ้น

ฉันเป็นเพียงปราชญ์ที่ขลาดเขลาในวิทยาการของพวกท่าน ที่ฉันรู้ดีว่าอำนาจที่พวกท่านมองไม่เห็นเป็นอำนาจที่พวกท่านไม่มีวันเข้าถึงหรือเทียบเคียงได้

จุดสูงสุดแห่งความศิวิไลซ์(Civilization) คือจุดต่ำสุดแห่งจิตวิญญาณ(spirituality)



หากเอ่ยนามของนักร้องแร็ปชื่อไม่ค่อยดัง ที่เริ่มมีชื่อเสียงไม่ค่อยโด่งดังเมื่อประมาณซัก 4-5 ปีที่แล้ว หลายท่านในที่นี้คงไม่รู้จัก(ก็ไม่ค่อยดัง จะรู้จักได้อย่างไร) ผมเองก็ไม่รู้จัก แต่เผอิญการท่องเน็ตของผมในวันนี้ได้เจอกับชายที่อยู่ในคลิปนี้

หากเอ่ยชื่อของ Loon ให้กับสาวกดนตรีแรปหลายคนคงจะรู้จักมักคุ้นดี แต่คนทั่วไปอย่างผมไม่รู้จักเขาเลย ความน่าสนใจที่ผมอยากนำเสนอให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในเฟซนี้ได้รับรู้หาใช่เรื่องราวของดนตรีแรป แต่มันเป้นเรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำแห่งความศิวิไลซ์ มาสู่ผู้เผยแพร่หลักคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง

ในปี 2008 ขณะที่ชื่อเสียงของ Loon โด่งดังที่สุดในช่วงอาชีพของการเป็นนักร้องของเขา เพลงของเขาสามารถเข้าไปอยู่ใน Billboard chart และ UK chart ได้หลายเพลง เขาสังกัดอยู่ในค่ายเพลงของ P. Diddy's Bad Boy Records. ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่ยิ่งใหญ่ในวงการแรป การตระเวณทัวร์เพื่อแสดงคอนเสริต์ทั่วโลกของเขาจึงได้มีขึ้น เขาเดินทางไปหลายประเทศมากมาย หนึ่งในประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอย่าง UAE ก็ยังอุตส่าห์เชิญนักร้องคนนี้ไปออกคอนเสริต์ในประเทศ

ใครจะไปเชื่อว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะไปเผยแพร่ความงมงายแห่งศิวิไลซ์ กลับต้องมาสยบและจำยอมต่อคำสอนอันเที่ยงแท้ของอิสลาม ณ ดินแดนที่มุสลิมในประเทศเชิญชวนเขาเข้ามาทำลายความเป็นอิสลาม และมันก็เกิดขึ้นจริงครับ Loon ได้เข้ารับอิสลาม ด้วยต้นเหตุที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ วันแรกๆที่เขาไปอยู่ในเอมิเรต นั้นทุกๆเช้าในขณะที่เขานอนหลับอยู่เขาจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่สร้างความสงบในจิตใจของเขาอย่างมาก เขานั่งนิ่งฟังมันอย่างตั้งใจ และสอบถามผู้คนในละแวกนั้นว่ามันคือเสียงอะไร ชายคนหนึ่งตอบว่า มันคือเสียง อาซาน เป็นเสียงที่เรียกร้องให้มุสลิมไปมัสยิดเพื่อทำการละหมาด หลังจากนั้นเขาจึงขอให้ใครซักคนพาเขาไปที่มัสยิด ที่นั่นเขาประทับใจในความสงบที่ชีวิตสัมผัสได้ จากบรรยากาศของบรรดาผู้ที่เข้ามาละหมาด ลูนกลับไปประเทศของตนเองพร้อมด้วยคำถามคำโตเกี่ยวกับอิสลาม เขาเริ่มศึกษาอิสลามด้วยตนเอง และเข้าไปหาผู้รู้ หลังจกานั้นเขาจึงเข้ารับอิสลาม กลายเป็นมุสลิมและเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Amir Junaid Muhadith ความจริงแล้ว Amir รู้จักศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เขาเติบโตในย่าน Harlem ของเมือง Newyork ซึ่งที่นั่น มีมุสลิมผิวดำมากมาย แต่เขาไม่รู้สึกสนใจอะไรในอิสลามเลย


ในทัศนะของการมีความสุขตามแบบฉบับของชาวตะวันตก ผู้ใดที่ครอบครองความร่ำรวย เกียรติยศ และ ชื่อเสียง ก็ถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว Loon ในวันนั้นมีรายได้ปีละหลายล้านดอลลาส์ เขาสามารถเดินเข้าไปในไนต์คลับแล้วหิ้วสาวๆคนที่เขาชอบใจไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย เขาสามรถซื้อความสนุกที่มีราคาแพงมากมาย(สังเกตุในคลิปที่ผมติดมาให้น่ะครับ เป็น MV ของ Loon ดูแล้วไม่อยากจะเชื่อว่าเปลี่ยนมาได้ขนาดนี้) สิ่งเหล่านี้ Amir ได้ครอบครองมันหมดแล้ว แต่เขาคิดว่า เขาไม่เคยเจอกับความสุขที่แท้จริงเลย จนเมื่อเขาได้เข้ารับอิสลาม การยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง และการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอิสลาม ทำให้เขาได้พบความสงบสุขในหัวใจของเขาอย่างแท้จริง



หลังเข้ารับอิสลาม Amir ได้ยกเลิกทัวร์การแสดงของเขาทั้งหมด แล้วหันมาศึกษาอิสลามอย่างแท้จริง เขาเดินทางไปอุมเราะฮทันทีหลังเข้ารับอิสลาม และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในวิถีชีวิตใหม่ของเขา ปัจจุบัน Amir ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการบรรยายตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หรือลานกลางแจ้ง Amir ก็ไม่เคยเกี่ยง การจับไมค์ครั้งใหม่ของ Amir ย่อมมีความแตกต่างกัน เสียงพูดของเขาไม่มีดนตรีมาขับจังหวะ ไม่มีการเชิญชวนให้ผู้คนกลับไปสู่ความงมงาย และแสวงหาความสำราญ แต่เสียงของเขาคือเสียงที่เรียกร้องให้ผู้คนกลับไปสู่พระเจ้าที่แท้จริง
ไม่มีใครซื้อตั๋วมานั่งฟังสิ่งที่เขาพูด ไม่มีใครเมามายเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ คนมานั่งฟังเพื่อแสวงหาสัจธรรม ไม่ใช่มาฆ่าเวลาของตนเองเพื่อเสพความสนุกที่ไร้สาระ



ข้อสังเกตุและข้อสงสัยที่ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันขบคิดว่า เหตุใด ในโลกตะวันตก เราพบว่าผู้นำแห่งการดะวะฮ มีมากมายหลายคนเลยทีเดียว ที่ก่อนหน้านี้เป็นกาฟิรมาก่อน Yusuf Islam ,Bilal Phillips, Yusuf Esstatte, Khaled Yaseen คือชื่อของดาอีย์ระดับโลกที่เชิญชวนผู้คนให้หลั่งใหลเข้ามารับอิสลาม แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้สร้างชื่อให้ชาวโลกรู้จักก่อนที่จะเข้ามารับอิสลาม พูดง่ายๆคือ ผมจะถามว่า ทำไมโลกตะวันตก คนดังหลายต่อหลายคนเข้ารับอิสลาม และ หลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว ก็กลายมาเป็นแนวหน้าแห่งการดะวะฮ ในขณะที่โลกตะวันออกนั้น แทบจะนึกชื่อใครไม่ออก(ที่เป็นคนดังระดับโลกน่ะครับ)



บทสรุปสุดท้ายนี้ผมอยากให้พี่น้องอย่าเพิ่งยินดีกับการที่มีกาฟิรระดับโลกมากมายที่เข้ารับอิสลามน่ะครับ เพราะในขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีมุสลิมระดับโลกมากมาย ที่เป็นคนดังแห่งโลกญาฮิลอยะฮ อย่างเช่น DJ Khaled ที่เป็นลูกหลานของชาวปาเลสไตน์แต่ไปโตในอเมริกา (ขอยกตัวอย่างคนเดียวน่ะครับแต่ถ้าสนใจสามารถเข้าไปหาอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้น่ะครับ)http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_American_Muslims

เรื่องของ Amir วันนี้สอนให้ผมรู้ว่า บุคคลที่อยู่แนวหน้าแห่งโลกศิวิไลซ์ คือบุคคลที่อยู่แนวหลังของความสูงส่งทางจิตวิญญาณ

เมื่อใดที่คนคนหนึ่ง สามารถลิ้มรสความสงบสุขที่แท้จริงแล้ว ความสงบจอมปลอมทั้งหลายก็มลายหายไปทันที
วัลลอฮฮุอาลัมครับ


อยากดูเป็นวิดีโอ ที่นี่เลยครับ 

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ปฏิวัติปากท้อง




พลันที่นกหวีดสุดท้ายแห่งการต่อสู้เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี ฮุสนีย์ มูบาร็อก แห่งอิยิปต์สิ้นสุดลง ประชาชนทั่วประเทศชูมือชูไม้ เปล่งเสียงตะโกน โห่ร้องด้วยความดีใจในชัยชนะของพลังประชาชนทั่วประเทศ พร้อมกับอาการกลัดกลุ้มในทรวงอกของผู้นำประเทศว่าที่โดมิโนตัวถัดๆไป ที่เหมือนกับรู้ตัวว่าความผิดที่ตนเองได้ทำในอดีตนั้น พร้อมจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมา อำนาจที่ตนเองได้รับมาอย่างยาวนานเริ่มถูกสั่นคลอน สภาพเหมือนคนที่ร้อนตัว  แน่นอนว่าปรากฏการณ์โดมิโน ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ให้โลกนี้แน่ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะทำให้ตะวันออกกลางที่ยุ่งเหยิงนั้น มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
เหมือนเป็นเรื่องตลก ที่ผู้นำประเทศ ที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานสร้างสมบารมีจนสามารถควบคุมกิจการทุกอย่างในประเทศ มีอำนาจเหมือนกษัตริย์ในระบอบสมมติเทพ กลับถูกโด่นล้มในระยะเวลาสั้นๆไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ผมขออธิบายตามความเข้าใจของคนตามข่าวไกลๆ ถึงองค์ประกอบที่ทำให้เหตุการณ์โดมิโน่ในครั้งนี้ระเบิดขึ้น ขอแยกเป็น 4 ข้อ
1.ปากท้องของประชาชน หัวข้อนี้น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ความจริงแล้ว ดินแดนตะวันออกกลางเกือบทุกประเทศ เป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้ามอบให้ผู้ครอบครองดินแดนบริเวณนั้น เพราะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย  แต่เหมือนจะเป็นเรื่องคู่กันเลยคือ ถ้ามีทรัพยากรเยอะ ก็จะมีนักการเมืองหรือผู้นำแย่ๆมาบริหารประเทศ  กลายเป้นวัฏจักรที่หมุนเวียนไม่จบไม่สิ้น เมื่อรัฐบาลขายทรัพยากรได้ ก็ต้องหักให้ครอบครัวผู้นำประเทศที่ถือครองสัมปทานและกิจการหลักๆภายในประเทศ กว่าจะผันมาเป็นงบประมาณแผ่นดินก็โดนไปหลายดอกแล้ว พอจะลงเม็ดเงินกระจายทำโครงการต่างๆทั่วประเทศก็ต้องฝ่าด่านองค์กรณ์ราชการขี้ช่อต่างๆ ข้าราชการน้อยใหญ่หาความสุจริตได้ยาก เพราะผู้นำไม่ได้เป็นแบบอย่าง การพัฒนาที่แท้จริงจึงไม่เกิดหรือเกิดน้อยมาก วิถีชีวิตของชาวตูนิเซีย และ ชาวอิยิปต์ จึงไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรดีขึ้นเลย ยากจนยังไงก็ยังยากจนอยู่อย่างนั้น ในขณะเดียวกันผู้นำทั้งสองประเทศต่างก็กอบโกยทรัพย์สินกันอย่างละโมบ มีบางรายงานกล่าวว่า ทรัพย์สินของทั้งสองคนนั้น มีมากกว่า แสนล้านดอลล่าสหรัฐ เงินเดือนดีอย่างนี้ไม่นานคำถามที่เราชอบถามเด็กอนุบาลว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ทั้งโลกคงต้องตอบเหมือนกันหมดแน่ว่าอยากเป็นประธานาธิบดี
สุดท้ายประชาชนทั้งประเทศก็อดรนทนใจไม่ได้เพราะทำมาหากินลำบาก ข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่มี ตกงาน เรื่องปากท้องไม่จำเป็นต้องมีอุดมการณ์อะไรสูงส่งหรอก ถึงแม้อุดมการณ์ในการเรียกร้องทางการเมืองจะต่างกัน แต่สุดท้าย เรื่องปากท้องก็หลอมรวมพลังประชาชนให้เป็นหนึ่งได้
2.การละเมิดมนุษยธรรม ส่วนที่สองนี้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้ไฟแห่งความเกรี้ยวกราดของประชาชนลุกท่วมบังลังค์อำนาจของผู้นำ สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกผู้เหล่ายึดถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งในการเป็นมนุษย์เลยก็ว่าได้ คือความเกลียดชังในความอยุติธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชนคือเรื่องร้ายแรงที่สุดในภาพรวมของความอยุติธรรมทั้งหลาย เราจะเห็นได้ว่า ช่วงแรกๆของการชุมนุมประท้วง ผู้คนไม่ได้มีมากมาย แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มให้ความรุนแรง ใช้อาวุธสงครามในการปราบปรามประชาชน ก็จะมีพลังแฝงของประชาชนที่รักความยุติธรรมเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งรัฐบาลใช้ความรุนแรงมากเท่าไหร่ ก็เหมือนเติมเชื้อไฟในกองเพลิงของประชาชน นำมาซึ่งพลังที่มหาศาลในที่สุด
3.อิสระในการเผยแพร่ข้อมูลบนโลกไซเบอร์ กุญแจสำคัญในการเผยแพร่ความรู้สึกร่วมและข้อมูลสำคัญๆที่จะโน้มน้าวการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ในการออกมาต่อสู้ หากเราย้อนในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาในบ้านเรานั้น เราจะพบว่า ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งใช้เวลานานมากในการรวมตัวเคลื่อนไหว การรับแนวคิดหรือความรู้สึกร่วมในความอยุติธรรมนั้นต้องผ่านหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ กว่าจะกระจายได้ทั่วประเทศก็ใช้เวลานานมาก จึงไม่สามารถที่จะดำเนินการใดๆแบบสายฟ้าแลบได้ แต่ในขณะที่เยาวชนที่ปฏิวัติรัฐบาลด้วยอินเตอร์เน็ตนั้น มีอาวุธที่เจาะเข้าแกนสมองส่วนความรู้สึกของผู้คนได้รวดเร็ว และ มีอิทธิพลอย่างรุนแรงมาก เพราะไม่ได้มีแค่ตัวหนังสือ หรือภาพถ่ายขาวดำนั้นที่ถ่ายทอดความรู้สึก แต่มีครบทั้ง ภาพนิ่งคมชัด วิดีโอ บทความ ทั้งหมดถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่ในประเทศเท่านั้น แต่หมายถึงทั่วทั้งโลก การปฏิวัตด้วยอินเตอร์เน็ตจึงเป็นการปฏิวัติที่ทันสมัยที่สุด มีงบประมาณน้อยมากๆ ไม่ต้องมีแกนนำในการชุมนุมที่ชัดเจนก็ทำได้
สิ่งที่เยาวชนในอิยิปต์และตูนิเซียทำได้นั้น จึงกลายเป้นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ให้เยาวชนส่วนอื่นๆของโลกได้ไปขบคิดกันต่อว่า ถ้าในมือเราทุกคน มีสิ่งมหัสจรรย์ที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ตแล้ว เราจะทำให้มันกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่มหาศาลได้อย่างไร
4.ขบวนการเคลื่อนไหวอิสลาม ในการประท้วงครั้งนี้หัวข้อนี้คงเป็นได้เพียงแค่พาดหัวเล็กๆเท่านั้น แต่ก็เป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้การเดินหน้าชุมนุมเป็นไปอย่างมีระบบ เพราะอย่างน้อยอุดมการณ์ของผู้คนที่จะทำเพื่อศาสนา ย่อมมีความคงทนมากกว่าของคนที่ต่อสู้เพื่อปากท้องเพียงอย่างเดียว ในการชุมนุมครั้งนี้อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเป็นการชุมนุมรูปแบบใหม่ที่ไร้ผู้นำชัดเจน แต่ก็ยังพอเห็นอย่างรางๆได้ว่า นั่งร้านที่คอยค้ำจุนโครงสร้างใหญ่ของการชุมนุมนี้คือขบวนการอิควานอัลมุสลีมูน ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ปกครองนั้น พยามสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของขบวนการนี้ แต่ก็อย่างที่บอกอีกนั่นแหละ คนเหล่านี้มีชีวิตเพื่อศาสนา ปากท้องจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความทุกข์ยากลำบากในการที่จะดำรงในอุดมการณ์อย่างแน่วแน่จึงกลายเป็นเหมือนความสุขอย่างหนึ่ง เพราะคนเหล่านี้รับรู้ว่า งานที่ยากลำบากย่อมแลกมาด้วยผลตอบแทนอันมหาศาล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับในโลกนี้ ก็ยังเชื่อมั่นเสมอว่าความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นกับตนแน่ๆ ผู้คนที่เฝ้ารอการหวนกลับมาของอิควานอัลมุสลีมูนทั่วโลกต่างจับจ้องไปยังโดมิโนทั้งสอง และจับจ้องไปยังขบวนเคลื่อนไหวอิสลามอื่นๆ ในว่าที่โดมิโนตัวต่อไปด้วย

ผมยังเชื่อมั่นว่า คงมีเยาวชนมุสลิมหลายล้านคนทั่วโลกที่มีความหวังว่าระบอบคิลาฟะฮจะกลับมาพร้อมกับการปฏิวัติดอกมะลิในครั้งนี้ คงไม่มีการงานใดที่จะมาด้วยความบังเอิญตลอดเส้นทางจนได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนเราได้รับความบังเอิญหลายประการมากมายที่เอื้อต่อการกลับมาของระบอบคิลาฟะฮจากโดมิโนในครั้งนี้ แต่ตราบใดที่ ปัจจัยข้อที่ 4 ไม่ได้เป็นปัจจัยแรกในการล้มล้างผู้นำทุศีลทั้งหลายแล้ว ก็คงยากที่เราจะเห็นการกลับมาของระบอบคิลาฟะฮ 
โอ้เยาวชนทั้งหลาย จงสร้างอุดมการณ์ให้เข้มแข็ง จงสร้างลูกหลานของท่านให้มีอุดมการรณ์ที่เข้มแข็ง อุดมการณ์ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติความดีงามที่ศาสนาสั่งใช้เท่านั้น แต่มันหมายถึง การที่ท่านสามารถเสียสละทุกสิ่งอย่างในชีวิตท่าน เพื่อศาสนาของท่าน มิเช่นนั้นแล้ว ชัยชนะของการปฏิวัติในครั้งต่อๆไปก็เป็นได้แค่เพียงชัยชนะของคนยากจนที่หิวโหยเท่านั้น เราต้องสร้างชัยชนะที่เกิดจากอุดมการณ์อันกล้าหาญ นั่นถึงจะเรียกว่าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อนั้น เราก็รอคอยการกลับมาของระบอบคิลาฟะฮอย่างภาคภูมิเสียที

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

review:ต้นส้มแสนรัก


ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของการรีวิว ผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองจินตนาการถึงชายคนหนึ่ง สูง 178 ซม. หนัก 72 กก. หน้าตาแย่ปะปนกับความหล่อ(ประมาณว่ามีสะเก็ดสิวกระจายทั่วหน้า แต่เค้าโครงเดิมหล่อมากกกส์) อุปนิสัยโหดร้าย นิยมความรุนแรง ใจแข็งยังกะเพรช แต่พอได้มาจับหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน กลับร้องไห้โฮกฮากอย่างไม่น่าเชื่อ ขอย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างบนนั่นมันเกิดขึ้นจริงกับผม โดยมีต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาคือ วรรณกรรมเยาวชน ที่ทุกครั้งที่มีคนแนะนำให้อ่านจะต้องแนะนำให้หากระดาษทิชชู่ตั้งไว้ใกล้ๆเสมอ ต้มส้มแสนรักนั่นเอง
ผมได้รับคำแนะนำจากบรรณาธิการของสมิอนาเล่มนี้ (ซึ่งก็มีสภาพทางกายภาพถึกไม่แพ้ผมเหมือนกัน) ว่าให้ลองของกันหน่อย เราก็จัดตามคำชวนของเพื่อน ไหนๆก็ไหนๆ ลองของงานนี้ไม่ต้องเตรียมกระดาษชำระให้เสียเวลา ท้าไว้เลยไม่เสียน้ำตาซักหยดแน่ ซักพัก เจ้าเด็กชาย เซเซ่ ก็แผลงฤทธิ์กับผมจนได้

เซเซ่ เด็กน้อยอายุ 6 ขวบ เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นอดีตชนชั้นกลาง แต่ดันมาตกงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สภาพการเงินของครอบครัวจึงแย่มาก แย่จนทำให้ต้องโยกย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากกันที่สลัม เซเซ่มีน้องชายคนหนึ่ง อายุ 4 ขวบน่าจะได้ อาจจะเป็นคนเดียวที่เซเซ่รักโดยไม่มีเหตุผล เหมือนที่แม่รักเรานั่นแหละไม่ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน  น้องชายเซเซ่ชื่อ หลุยส์ เจ้าเด็กคนนี้แหละที่เปิดบริสุทธิ์ต่อมน้ำตาของผมกับหนังสือเล่มนี้  ตอนหนึ่งที่เซเซ่ต้องพาหลุยส์น้องชายสุดที่รัก ออกไปเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์  บ้านที่ไม่มีแม้แต่เงินกินข้าวก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อของฉลองกันในบ้าน เซเซ่เลยต้องจรลีตัวเองและน้องออกไปหาความสุขนอกบ้าน ได้ยินเด็กๆบอกกันว่า ร้านขายของเล่นในเมือง เค้าแจกของเล่นให้ฟรีๆ จัดแจงแต่งตัวให้น้องสุดหล่อ แต่งตัวไม่พอต้องแต่งผมด้วย แต่ไม่รู้จะเซ็ทผมยังไง เหลือบไปเห็นน้ำมันหมู เลยเอามาทาผมของน้องชายตัวเอง พี่สาวของเซเซ่คนหนึ่งเห็นภาพที่น้องชายตัวเล็กๆของตัวเอง กระเตงจูงมือตัวน้องที่เล็กกว่า ก็ร้องไห้ “พยามเหลือเกินที่จะเอาของเล่นถูกๆ 2-3 ชิ้น เขาไม่ให้ของดีๆกับคนจนๆหรอก”(ฉากนี้น้ำตาเริ่มซึม) ด้วยเหตุที่น้องชายเล็กเกินกว่าจะเดินทางไกล เซเซ่ต้องแบกต้องหามหลุยส์ตลอดทาง การเดินทางจึงช้าลง และพลาดจากการได้ของขวัญฟรี  เซเซ่เสียใจมาก มากเกินกว่าความรู้สึกเสียใจที่เด็กอายุ 6 จะแสดงออกมาได้ ความเสียใจที่ทำให้เด็กน้อยที่ไร้เดียงสากว่าตนต้องพบกับความผิดหวัง ความบริสุทธิ์ในความรักที่เซเซ่มีต่อหลุยถึงกับทำให้เซเซ่สัญญากับหลุยส์ว่า ถ้าตนโตขึ้นจะซื้อรถสวยๆที่มีของขวัญเต็มรถ ถึงแม้จะต้องฆ่าใครซักคนเพื่อเป็นเจ้าของมันก็ตาม  หากพลังของความรักที่บริสุทธิ์มีอานุภาพเพียงพอที่จะทำให้ใครซักคนทำความผิดเพื่อให้คนที่ตนรักพึงพอใจ เซเซ่คงเป็นตัวอย่างด้านมืดให้คนเหล่านั้นได้

ด้วยความที่เซเซ่เป็นเด็กที่ฉลาดสามารถอ่านหนังสือได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน แต่น่าเสียดายที่ความฉลาดของเซเซ่กลับถูกมองข้ามจากคนในครอบครัว เซเซ่ มีจินตนาการสูงส่ง จินตนาการไปกระทั่งต้นส้มที่ตนเองปลูกและดูแลในสวนหลังบ้านนั้นสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดได้ อาจเพราะเซเซ่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง อาจเพราะโลกที่เซเซ่อยู่ไม่ได้สวยงามเหมือนดังโลกในจินตนาการของเซเซ่ เซเซ่จึงต้องปลีกตัวเองจากโลกความจริงเสมอ ต้นส้มของเซเซ่มีชื่อ มิงกินโย ห้ามเรียกมิงกินโยว่าเป้นต้นไม้น่ะ เพราะเซเซ่คิดว่า นี่คือคนคนหนึ่งเลยทีเดียว จินตนาการดีๆของเซเซ่มาจากการพูดคุยกับมิงกินโยนี่แหละ  
ชีวิตเซเซ่ได้รับความรักในรูปแบบของความรุนแรงตลอดเวลา เซเซ่จึงแสดงออกความรักในรูปแบบความรุนแรงด้วยเช่นกัน ครั้งหนึ่ง เขาบอกชายแก่ที่เป็นเพื่อนรักว่า เขาเกลียดชังพ่อที่ทุบตีเขาเหลือเกิน เขาจะฆ่าพ่อ แต่แล้วเมื่อเพื่อนต่างวัยทำหน้าตกใจ เซเซ่ก็ขยายความว่า
"ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่นายเลิกรักเขาแล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย" นั่นเพราะความรุนแรงที่เซเซ่แสดงออกมายังเปี่ยมไปด้วยความรัก ผมเองก็รู้สึกได้ว่าความรักทำให้ทุกสิ่งสวยงาม แม้จะเป็นความรุนแรงก็ตาม

ในละแวกที่เซเซ่อาศัยอยู่นั้น มีเศรษฐีชาวโปรตุเกสคนหนึ่งอาศัยอยู่ ทุกวันเด็กๆในละแวกนั้นจะมองชายคนนี้ขับรถหรูๆไปทำงาน  ความฝันของเซเซ่คือการได้เกาะท้ายรถคันนั้น และแล้วการเกาะท้ายรถหรูของเซเซ่ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเซเซ่ เซเซ่เกลียดชังเจ้าของรถคันนี้ที่สุด เซเซ่เรียกเค้าว่า โปรตุก้า(เป็นคำในเชิงดูถูก) เพราะโดนตีต่อหน้าสาธารณะ แต่โปรตุก้าคนนี้เองที่ทำให้เซเซ่ได้รู้จักกับความรัก และคุณค่าในตัวเอง คงจะป่วยการเกินไปที่จะบอกว่าเหตุใดเซเซ่ถึงได้รักโปรตุก้ามากมาย นอกจากท่าจะไปหาอ่านเอง เพื่อซึมซับความรักจากโปรตุก้าที่มีต่อเซเซ่ด้วย
และแล้วก็ถึงเวลาที่เซเซ่ต้องเข้าโรงเรียน ที่โรงเรียนเพื่อนนักเรียนของเซเซ่ช่างหลากหลายเหลือเกิน คุณครูของเซเซ่ก็เป็นคนดี ทุกเช้าเซเซ่จะเด็ดดอกไม้จากสวนของเพื่อนบ้านมาใส่แจกันเปล่าของครู ครูทราบเรื่องและต้องการลงโทษเซเซ่ คุณครูต้องการจะสอนบทเรียนเรื่องการขโมยให้เซเซ่ เซเซ่สวนกลับมาว่า “คุณครูยังให้เงินบางครั้งบางคราวไปซื้อขนมครูลเลอร์สอดไส้ไม่ใช่หรอฮะ”  จริงของเซเซ่การเอาดอกไม้จากเพื่อนบ้านที่มีเกินที่จะใช้จนเกะกะถือเป็นการแทนพระคุณของครู คุณครูถามต่อว่า “ครูให้ทุกวันได้แหละจ้ะ แต่เธอก็หายไปไหน.....”
ผมรับทุกวันไม่ได้หรอก มีเด็กที่ยากจนกว่าผมที่ไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน ผู้หญิงตัวดำๆเล็กขนาดผม เขาจนกว่าผมอีกฮะ ผู้หญิงคนอื่นไม่ชอบเล่นด้วยเพราะเขาตัวดำ แล้วก็จนเกินไป เขาเลยมักนั่งอยู่ที่มุมห้อง บางครั้งผมก็แบ่งขนมที่คุณครูให้เงินผมไปซื้อ คุณครูควรเอาขนมครูลเลอร์ไปแบ่งให้เขาบ้าง แม่สอนว่า เราต้องแบ่งให้คนที่ยากจนกว่าเรา”

เพราะผลิดอกของการแบ่งปันนั้นช่างสวยงามและน่าชื่นชมเสมอ ยิ่งในหมู่คนที่ยากลำบากแล้ว ยังพร่ำมองหาคนที่ลำบากกว่าตน เพื่อให้ตนกลายเป็นผู้ให้ ช่างสวยงามเสียจริง
เซเซ่ หนูรู้มั้ย หนูทำให้คนถึกๆอย่างผมใจอ่อนลงไปเยอะเลยตั้งแต่รู้จักหนู  ความคิดและความฝันของหนูช่างสวยงามเสียจริง สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของหนูคือความรักและการแบ่งปัน จินตนาการของหนูทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้เสียจริงๆ เป็นไปได้ ในตอนจบของเรื่อง หนูเข้มแข็งมากนะ ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตหนูต้องจากไป...............