มนุษย์นั้นคืออิสระชน
แม้จะมีกรอบข้อบังคับกฎระเบียบต่างๆเพื่อควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติแล้ว
แต่มนุษย์ก็มีสิทธิในการเลือกจะทำหรือไม่ทำตามข้อตกลงเหล่านั้น
ความต้องการเป็นอิสระของมนุษย์นั้นมีค่าเป็นอนันต์ หากเลือกได้ ทุกคนต้องการอิสระโดยไร้ข้อจำกัดใดๆของอิสรภาพ
เอกลักษณ์ของมนุษย์ที่นิยมในอิสรภาพ
เป็นสาเหตุสำคัญของความแตกต่างกันของมนุษย์ อิสรภาพทางความคิด
นำมาซึ่งการปฏิบัติที่แตกต่าง
เมื่อแรกเกิด สมองของมนุษย์นั้นว่างเปล่า
เรามีเพียงสัญชาติญาณสำคัญบางอย่างที่ทำให้เราสามารถมีชีวิตได้
ทักษะในการร้องเมื่อหิวหรือไม่สบายตัว ทักษะในการดูดและกลืนนมแม่
ทักษะในการหายใจเข้าออกตามปริมาณอากาศที่ต้องการสันดาปพลังงาน
เหล่านี้เป็นทักษะเริ่มต้นตามสัญชาตญาณมนุษย์
เราทุกคนล้วนเกิดมาในสภาพของผ้าขาวบริสุทธิ์
จนกระทั่งเมื่อสมองของเราพัฒนาด้านการฟังและการมองเห็น
แวดล้อมทั้งกายภาพและชีวิภาพ กลายเป็นอาหารสำคัญของสมอง
ที่จะพัฒนาเชื่อมต่อข้อมูลทั้งหลายที่เข้ามาจากการรับรู้สองประการนั่น เป็นอารมณ์
ความคิดอ่าน บุคลิกภาพการแสดงออก
อิทธิพลของการพัฒนาความเป็นมนุษย์ทั้งหมดของคนหนึ่งคน จึงเริ่มต้นและมีกระบวนการเดียวกัน
ณ สภาพแวดล้อม ผู้ปกครอง ที่แตกต่างกัน
ทำให้มนุษย์แต่ละคนบรรจุข้อมูลที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ในรายละเอียด
แทบจะบอกได้เลยว่า มนุษย์ทั้งหมดที่เคยมีชีวิตในสากลโลกนี้
ไม่มีอะไรที่รับรู้มาเหมือนกันอย่างแท้จริงแน่ๆ เมื่อรับรู้ไม่เหมือนกันแล้ว จึงนำมาซึ่งอีกภาวะหนึ่งคือ
เราไม่สามารถผลิตมนุษย์ที่คิดเหมือนกันได้โดยสัมบูรณ์
ไม่ว่าจะสองคนหรือมากกว่านั้นก็ตาม
การดำรงอยู่ในสภาวะที่มีความคิดเห็นที่หลากหลายในสังคม
เกิดขึ้นจากบริบทของข้อมูลที่รับมาแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ การวางคุณค่า (Value)
ของทุกมิติในชีวิตมนุษย์
มีความหลากหลาย
คุณค่า
ในที่นี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากว่าสิ่งใดคือความถูกต้อง สิ่งใดคือความไม่ถูกต้อง
ตราบที่มนุษย์ไม่สามารถ รวบรวม จุดกำเนิดของความรู้และข้อมูลทุกสิ่ง ( Origin
of the everything ) ให้เป็นหนึ่งเดียวได้
มนุษย์จำต้องยอมรับความหลากหลายที่เกิดขึ้นให้ได้
การปะทะกันในทุกระดับความสัมพันธ์ของมนุษย์
เมื่อพิจารณาดูดีๆ เราจะพบว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมด เกิดขึ้นเนื่องจาก การพิจารณา
คุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งทับซ้อนกัน เมื่อทับซ้อนแล้ว
นำมาซึ่งปรากฏการณ์ที่ตามมาที่ลดค่า หรือเพิ่มคุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรือขับให้คุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป ( Marginalization )
ไล่ตั้งแต่ปัญหาในครัวเรือน
ที่เมื่อภรรยามือใหม่ทำกับข้าวไม่ถูกปากสามี จนสามีตำหนิติเตียนอาหาร
ก็เกิดจากการให้คุณค่าในสิ่งที่ต่างกัน
ภรรยามองว่าคุณค่าของอาหารคือการตั้งใจทำให้สามีทานทั้งๆที่ในชีวิตไม่ใคร่ได้ทำอาหารให้ใครได้ทาน
แต่สามีให้คุณค่าของอาหารด้วยรสชาต ครั้นเมื่อได้รับอาหารที่ไม่ถูกปาก
ซึ่งเป็นคุณค่าสูงสุดที่สามีพิจารณาอาหาร ก็ออกปากตำหนิอาหาร
นั่นเป็นการทับซ้อนกันของการให้คุณค่าอาหาร จนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น
การแสดงลักษณ์ของสังคมใดสังคมหนึ่ง
หากจุดที่มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ควรแสดงเป็นอัตลักษณ์แตกต่างกัน
ก็นำมาซึ่งปัญหาได้ ในความขัดแย้งระดับพื้นที่ หากคนกลุ่มหนึ่งเห็นคุณค่าการแสดงลักษณ์ควรเหมือนดั่งเช่นบรรพบุรุษได้ดำเนินกันมา
ส่วนอีกกลุ่มมองว่าความศิวิไลซ์เช่นเดียวกับโลกที่อารยะทางวัตถุเป็นกันอยู่เป็นสิ่งมีคุณค่า
และต่างฝ่ายต่างนำเสนอเพื่อให้คุณค่าในแบบที่ตัวเองตีความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดทั้งสองฝ่ายแล้ว
อัตลักษณ์ที่คนในสังคมนั้นพึงต้องแสดง จะกลายเป็นข้อพิพาท
เพราะการเห็นต่างของคุณค่าของอัตลักษณ์
ในปัญหาระดับประเทศ ที่ปริมาณน้ำมีจำกัด
แต่มีคนต้องการใช้น้ำกันมาก
ชาวนาเห็นคุณค่าของน้ำเป็นลมหายใจของผลิตผลการเกษตรของตัวเอง
ซึ่งต่อทั้งลมหายใจของข้าวและตัวชาวนาไปด้วยกัน
ส่วนฝ่ายปกครองมองว่าคุณค่าของน้ำอยู่ที่การได้เลี้ยงดูผู้คนตามบ้านเรือนปลายน้ำอีกหลายล้านคนให้มีน้ำกินน้ำใช้ไม่ขาดช่วง
คุณค่าที่ขัดแย้งกันในบริบทของทรัพยากรที่มีจำกัดก็นำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้ง
เมื่อพิจารณาเรื่อง คุณค่า ที่ไม่ข้อขัดแย้ง
เราจะพบว่าในสังคมที่มีการให้คุณค่าไปในทางเดียวกันทั้งหมด
พื้นที่แห่งนั้นจะมีความสงบ สันติ ไม่ว่าคุณค่านั้นๆจะเป็นเรื่องประหลาดสำหรับคนอีกสังคมหนึ่งก็ตาม
สมมติตัวอย่างเช่น ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง
ที่สร้างบริบทในการมอง คุณค่าสูงสุด
ของสตรีเป็ฯเรื่องของการปกปิดเพื่อละอารมณ์ใคร่
ด้วยการแต่งกายแบบคลุมมิดชิปกปิดทั่วทั้งเรือนร่าง
การแต่งกายเช่นนี้คือการให้คุณค่าแก่สตรี ณ บริบทของสังคมนั้น ร้อยทั้งร้อยของคนในสังคมเห็นเป็นเช่นเดียวกัน
สตรีทุกคนที่อยากมีคุณค่าตามที่บริบทสังคมคิดเห็น ก็แต่งกายเช่นนั้น
และยอมรับในเงื่อนไขอื่นๆที่เป็นอุปสรรคของการแต่งกายเช่นนี้ได้หมด ไม่ว่าจะร้อน
จะอับ จะต้องใช้เนื้อผ้ามากก็ตาม หากคนทุกคนในสังคมเห็นเช่นเดียวกัน ก็จะไม่มีแรงขับต้านและไม่มีความขัดแย้งทั้งทางความคิดและการกระทำ
จนเมื่อหากมีการปะทะกันทางความคิดของการให้คุณค่า จากอีกสังคมหนึ่ง ที่กำหนด คุณค่าสูงสุด เป็นเรื่องเสรีภาพและความสวยงามทางเพศสภาพ การแต่งกายของสตรีในบริบทอีกสังคมหนึ่ง ก็จะให้คุณค่าสตรีที่แต่งกายได้งดงาม เปิดเผยสัดส่วนธรรมชาติของสตรีบ้าง เพื่อให้มนุษย์อื่นๆได้ชื่นชมความงดงาม นี่ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งในการมองและให้คุณค่าในประเด็นเดียวกันคือ เครื่องแต่งกายสตรี ตราบที่สองความคิดนี้ไม่ปะทะและปะปนในชุมชนความคิดเดียวกันแล้ว ทั้งสองสิ่งจะเป็นสิ่งมีคุณค่า ในบริบทของของสังคมที่สอดรับกับคุณค่าที่สังคมให้ไว้
แต่หากวันหนึ่ง มีการนำ คุณค่า ของสังคมในบริบทหนึ่ง
มาใช้กับอีกบริบทหนึ่ง เมื่อนั้นก็ต้องมีกระบวนการในการปะทะกันทาง
คุณค่าที่สังคมนั้นๆได้ให้ไว้ จนเมื่อถึงจุดอิ่มตัวของการปะทะกันทางคุณค่า (Equilibrium
state) สังคมจะได้
คุณค่าใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าสำหรับการให้คุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
กระบวนการเช่นนี้ผมขอเรียกว่า วิวัฒนาการทางวัฒนธรรม
การวัดคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผ่านบริบทเดียว
แบบที่เรายึดติดและให้คุณค่าเท่านั้น จะนำมาซึ่งการปะทะกันของทัศนคติและคุณค่าเสมอ
จงอย่าลืมว่า คุณค่า และทัศนคติ ที่มาจากมนุษย์เจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้และที่ตายไปแล้วหลายพันล้านคน ไม่มีทางเหมือนกัน
โลกที่สันติจริงๆมีอยู่สองทาง ทางแรกคือทำให้คนคิดเห็นเช่นเดียวกันหมด ทางที่สอง ให้มนุษย์นั้นมองเห็นคุณค่าสิ่งต่างๆให้แตกต่างกันได้ และอดกลั้นในความแตกต่างกัน
ข้อสรุป ณ จุดที่ผมเห็นโลกมาไม่กี่ปี บอกผมว่า
เราไม่มีทางไปในจุดที่มีสันติจริงๆในโลกได้ ทั้งสองทางเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
การทำให้คนทั้งโลกให้คุณค่าทุกเรื่องเป็นสิ่งเดียวกันเป็นไปไม่ได้
ส่วนการทำให้ทุกคนยอมรับคุณค่าทีแตกต่างกันโดยไม่ยุ่งคุกคามแก่กันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ตราบที่สถานะทางอำนาจของคู่กรณีไม่เทียมเท่ากัน
หมอแผนปัจจุบันที่ลดพื้นที่ของหมอแผนโบราณ
เพราะหมอแผนปัจจุบันเชื่อมั่นและให้คุณค่า ในการหาความรู้เชิงประจักษ์ ( Evidence
base medicine ) ส่วนหมอแผนโบราณให้คุณค่าของความรู้ในฐานะที่เป็นความรู้ที่เร้นลับ
สองคุณค่านี้ไม่มีทางพบกันได้ และเดิมพันของการให้คุณค่านี้คือชีวิตของมนุษย์
ความเชื่อมั่นในคุณค่าเช่นนี้ บวกกับสถานะของอำนาจในแพทย์แผนปัจจุบันสูงกว่า
จึงลดพื้นที่ของแพทย์แผนโบราณไปเยอะ การมองคุณค่าแตกต่างกันในหลายๆประเด็น
ที่เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย เป็นผลประโยชน์
เป็นเรื่องที่มีแรงจูงใจสูงในการเปลี่ยนแนวทางการให้คุณค่า
จึงไม่สามารถรักษาให้การตีความคุณค่าที่หลากหลายเกิดขึ้นได้
ขอโทษที่เขียนอะไรยาวๆให้อ่าน
หวังอย่างเดียวว่า เราๆทั้งหลายจะเข้าใจถึง คุณค่า และ ความเห็นต่างกันบ้าง หากเข้าใจประเด็นนี้ แล้วสันติจะมีมากขึ้นซักหนึ่งนาโนหน่วย ก็ดีใจแล้วครับ