วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปราชญ์สนทนา

เมื่อปราชญ์กับนักวิทยาศาสตร์สนทนากัน




นักวิทย์ : ท่านทราบหรือเปล่าว่าอีกไม่นานมนุษย์คงไม่ต่างจากพระเจ้า มันหมายความว่าอีกไม่นานมนุษย์จะมามารถเป็นพระเจ้าได้

ปราชญ์ : อะไรที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้น

นักวิทย์ : ตอนนี้เรากำลังเอาชนะความตาย เรากำลังจะสร้างชีวิตด้วยการโคลนนิ่ง เราไขความลับของจักรวาลไปมากมายเหลือเกิน เรากำลังจะสร้างวิทยาการที่ทำให้เราเดินทางไปได้ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับแสง

ปราชญ์ : นั่นเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด แลทั้งยังดูห่างไกลจากความจริงเสียด้วย

นักวิทย์ : แต่เราเข้าใกล้มันทุกวัน

ปราชญ : เหมือนที่ท่านเดินเข้าหาความตายนั่นแหละ ฉันจะเชื่อว่ามนุษย์เป็นพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อมีมนุษย์ทำในสิ่งเหล่านี้ได้
ข้อแรกฉันอยากให้พวกท่านสร้างมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่งโดยใช้วิทยาการทุกอย่างของท่าน เลือกพ่อแม่ของเด็กคนนั้นจากคนที่ฉลาดที่สุด กำจัดยีนที่ไม่ดีของเด็กคนนั้น แต่เมื่อเด็กคนนั้นถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ท่านจงเลี้ยงดูเขาในห้องสีขาวและปิดตายห้องนั้น ให้เพียงอาหารและอากาศให้กับเขา ถ้าหากวันหนึ่งที่เขาสามารถอุทานได้ ไม่ว่าด้วยภาษาใดก็ตาม หากเขาอุทานเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล การกำเนิดชีวิต ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ความตายของมนุษย์ กฏหมายที่สร้างความยุติธรรมหากเขาสามารถอธิบายเรื่องเหล่านี้เหมือนความรู้ที่พวกท่านมี ฉันคงเชื่อว่ามนุษย์เป็นพระเจ้าได้ เพราะคุณสมบัติของพระเจ้าคือผู้รอบรู้ และผู้รอบรู้ย่อมไม่ต้องการการเรียนรู้ใดๆ

ข้อสองฉันอยากให้ท่านทำลายจักรวาลนี้ทั้งหมด แล้วจงสร้างจักรวาลนี้ใหม่ พวกท่านไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่จากสิ่งที่ไม่มีเหมือนที่พระเจ้าสร้างก็ได้ ฉันต่อให้ท่านสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาใหม่จากสิ่งที่เหลืออยู่จากการทำลายล้างจักรวาลของท่าน ฉันคิดว่าการทำลายนั้นง่ายกว่าการสร้างสรรค์ หากท่านทำลายจักรวาลนี้ได้ทั้งหมดงานของท่านสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะทำลายท่านควรจะหาเส้นขอบของจักวาลก่อนเสียเถอด เพราะจะทำให้ท่านเริ่มทำลายจากนอกเข้ามาใน มันจะทำได้ง่ายขึ้น

ฉันเป็นเพียงปราชญ์ที่ขลาดเขลาในวิทยาการของพวกท่าน ที่ฉันรู้ดีว่าอำนาจที่พวกท่านมองไม่เห็นเป็นอำนาจที่พวกท่านไม่มีวันเข้าถึงหรือเทียบเคียงได้

จุดสูงสุดแห่งความศิวิไลซ์(Civilization) คือจุดต่ำสุดแห่งจิตวิญญาณ(spirituality)



หากเอ่ยนามของนักร้องแร็ปชื่อไม่ค่อยดัง ที่เริ่มมีชื่อเสียงไม่ค่อยโด่งดังเมื่อประมาณซัก 4-5 ปีที่แล้ว หลายท่านในที่นี้คงไม่รู้จัก(ก็ไม่ค่อยดัง จะรู้จักได้อย่างไร) ผมเองก็ไม่รู้จัก แต่เผอิญการท่องเน็ตของผมในวันนี้ได้เจอกับชายที่อยู่ในคลิปนี้

หากเอ่ยชื่อของ Loon ให้กับสาวกดนตรีแรปหลายคนคงจะรู้จักมักคุ้นดี แต่คนทั่วไปอย่างผมไม่รู้จักเขาเลย ความน่าสนใจที่ผมอยากนำเสนอให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในเฟซนี้ได้รับรู้หาใช่เรื่องราวของดนตรีแรป แต่มันเป้นเรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำแห่งความศิวิไลซ์ มาสู่ผู้เผยแพร่หลักคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง

ในปี 2008 ขณะที่ชื่อเสียงของ Loon โด่งดังที่สุดในช่วงอาชีพของการเป็นนักร้องของเขา เพลงของเขาสามารถเข้าไปอยู่ใน Billboard chart และ UK chart ได้หลายเพลง เขาสังกัดอยู่ในค่ายเพลงของ P. Diddy's Bad Boy Records. ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่ยิ่งใหญ่ในวงการแรป การตระเวณทัวร์เพื่อแสดงคอนเสริต์ทั่วโลกของเขาจึงได้มีขึ้น เขาเดินทางไปหลายประเทศมากมาย หนึ่งในประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอย่าง UAE ก็ยังอุตส่าห์เชิญนักร้องคนนี้ไปออกคอนเสริต์ในประเทศ

ใครจะไปเชื่อว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะไปเผยแพร่ความงมงายแห่งศิวิไลซ์ กลับต้องมาสยบและจำยอมต่อคำสอนอันเที่ยงแท้ของอิสลาม ณ ดินแดนที่มุสลิมในประเทศเชิญชวนเขาเข้ามาทำลายความเป็นอิสลาม และมันก็เกิดขึ้นจริงครับ Loon ได้เข้ารับอิสลาม ด้วยต้นเหตุที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ วันแรกๆที่เขาไปอยู่ในเอมิเรต นั้นทุกๆเช้าในขณะที่เขานอนหลับอยู่เขาจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่สร้างความสงบในจิตใจของเขาอย่างมาก เขานั่งนิ่งฟังมันอย่างตั้งใจ และสอบถามผู้คนในละแวกนั้นว่ามันคือเสียงอะไร ชายคนหนึ่งตอบว่า มันคือเสียง อาซาน เป็นเสียงที่เรียกร้องให้มุสลิมไปมัสยิดเพื่อทำการละหมาด หลังจากนั้นเขาจึงขอให้ใครซักคนพาเขาไปที่มัสยิด ที่นั่นเขาประทับใจในความสงบที่ชีวิตสัมผัสได้ จากบรรยากาศของบรรดาผู้ที่เข้ามาละหมาด ลูนกลับไปประเทศของตนเองพร้อมด้วยคำถามคำโตเกี่ยวกับอิสลาม เขาเริ่มศึกษาอิสลามด้วยตนเอง และเข้าไปหาผู้รู้ หลังจกานั้นเขาจึงเข้ารับอิสลาม กลายเป็นมุสลิมและเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Amir Junaid Muhadith ความจริงแล้ว Amir รู้จักศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เขาเติบโตในย่าน Harlem ของเมือง Newyork ซึ่งที่นั่น มีมุสลิมผิวดำมากมาย แต่เขาไม่รู้สึกสนใจอะไรในอิสลามเลย


ในทัศนะของการมีความสุขตามแบบฉบับของชาวตะวันตก ผู้ใดที่ครอบครองความร่ำรวย เกียรติยศ และ ชื่อเสียง ก็ถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว Loon ในวันนั้นมีรายได้ปีละหลายล้านดอลลาส์ เขาสามารถเดินเข้าไปในไนต์คลับแล้วหิ้วสาวๆคนที่เขาชอบใจไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย เขาสามรถซื้อความสนุกที่มีราคาแพงมากมาย(สังเกตุในคลิปที่ผมติดมาให้น่ะครับ เป็น MV ของ Loon ดูแล้วไม่อยากจะเชื่อว่าเปลี่ยนมาได้ขนาดนี้) สิ่งเหล่านี้ Amir ได้ครอบครองมันหมดแล้ว แต่เขาคิดว่า เขาไม่เคยเจอกับความสุขที่แท้จริงเลย จนเมื่อเขาได้เข้ารับอิสลาม การยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง และการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอิสลาม ทำให้เขาได้พบความสงบสุขในหัวใจของเขาอย่างแท้จริง



หลังเข้ารับอิสลาม Amir ได้ยกเลิกทัวร์การแสดงของเขาทั้งหมด แล้วหันมาศึกษาอิสลามอย่างแท้จริง เขาเดินทางไปอุมเราะฮทันทีหลังเข้ารับอิสลาม และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในวิถีชีวิตใหม่ของเขา ปัจจุบัน Amir ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการบรรยายตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หรือลานกลางแจ้ง Amir ก็ไม่เคยเกี่ยง การจับไมค์ครั้งใหม่ของ Amir ย่อมมีความแตกต่างกัน เสียงพูดของเขาไม่มีดนตรีมาขับจังหวะ ไม่มีการเชิญชวนให้ผู้คนกลับไปสู่ความงมงาย และแสวงหาความสำราญ แต่เสียงของเขาคือเสียงที่เรียกร้องให้ผู้คนกลับไปสู่พระเจ้าที่แท้จริง
ไม่มีใครซื้อตั๋วมานั่งฟังสิ่งที่เขาพูด ไม่มีใครเมามายเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ คนมานั่งฟังเพื่อแสวงหาสัจธรรม ไม่ใช่มาฆ่าเวลาของตนเองเพื่อเสพความสนุกที่ไร้สาระ



ข้อสังเกตุและข้อสงสัยที่ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันขบคิดว่า เหตุใด ในโลกตะวันตก เราพบว่าผู้นำแห่งการดะวะฮ มีมากมายหลายคนเลยทีเดียว ที่ก่อนหน้านี้เป็นกาฟิรมาก่อน Yusuf Islam ,Bilal Phillips, Yusuf Esstatte, Khaled Yaseen คือชื่อของดาอีย์ระดับโลกที่เชิญชวนผู้คนให้หลั่งใหลเข้ามารับอิสลาม แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้สร้างชื่อให้ชาวโลกรู้จักก่อนที่จะเข้ามารับอิสลาม พูดง่ายๆคือ ผมจะถามว่า ทำไมโลกตะวันตก คนดังหลายต่อหลายคนเข้ารับอิสลาม และ หลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว ก็กลายมาเป็นแนวหน้าแห่งการดะวะฮ ในขณะที่โลกตะวันออกนั้น แทบจะนึกชื่อใครไม่ออก(ที่เป็นคนดังระดับโลกน่ะครับ)



บทสรุปสุดท้ายนี้ผมอยากให้พี่น้องอย่าเพิ่งยินดีกับการที่มีกาฟิรระดับโลกมากมายที่เข้ารับอิสลามน่ะครับ เพราะในขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีมุสลิมระดับโลกมากมาย ที่เป็นคนดังแห่งโลกญาฮิลอยะฮ อย่างเช่น DJ Khaled ที่เป็นลูกหลานของชาวปาเลสไตน์แต่ไปโตในอเมริกา (ขอยกตัวอย่างคนเดียวน่ะครับแต่ถ้าสนใจสามารถเข้าไปหาอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้น่ะครับ)http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_American_Muslims

เรื่องของ Amir วันนี้สอนให้ผมรู้ว่า บุคคลที่อยู่แนวหน้าแห่งโลกศิวิไลซ์ คือบุคคลที่อยู่แนวหลังของความสูงส่งทางจิตวิญญาณ

เมื่อใดที่คนคนหนึ่ง สามารถลิ้มรสความสงบสุขที่แท้จริงแล้ว ความสงบจอมปลอมทั้งหลายก็มลายหายไปทันที
วัลลอฮฮุอาลัมครับ


อยากดูเป็นวิดีโอ ที่นี่เลยครับ 

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ปฏิวัติปากท้อง




พลันที่นกหวีดสุดท้ายแห่งการต่อสู้เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี ฮุสนีย์ มูบาร็อก แห่งอิยิปต์สิ้นสุดลง ประชาชนทั่วประเทศชูมือชูไม้ เปล่งเสียงตะโกน โห่ร้องด้วยความดีใจในชัยชนะของพลังประชาชนทั่วประเทศ พร้อมกับอาการกลัดกลุ้มในทรวงอกของผู้นำประเทศว่าที่โดมิโนตัวถัดๆไป ที่เหมือนกับรู้ตัวว่าความผิดที่ตนเองได้ทำในอดีตนั้น พร้อมจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมา อำนาจที่ตนเองได้รับมาอย่างยาวนานเริ่มถูกสั่นคลอน สภาพเหมือนคนที่ร้อนตัว  แน่นอนว่าปรากฏการณ์โดมิโน ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ให้โลกนี้แน่ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะทำให้ตะวันออกกลางที่ยุ่งเหยิงนั้น มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
เหมือนเป็นเรื่องตลก ที่ผู้นำประเทศ ที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานสร้างสมบารมีจนสามารถควบคุมกิจการทุกอย่างในประเทศ มีอำนาจเหมือนกษัตริย์ในระบอบสมมติเทพ กลับถูกโด่นล้มในระยะเวลาสั้นๆไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ผมขออธิบายตามความเข้าใจของคนตามข่าวไกลๆ ถึงองค์ประกอบที่ทำให้เหตุการณ์โดมิโน่ในครั้งนี้ระเบิดขึ้น ขอแยกเป็น 4 ข้อ
1.ปากท้องของประชาชน หัวข้อนี้น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ความจริงแล้ว ดินแดนตะวันออกกลางเกือบทุกประเทศ เป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้ามอบให้ผู้ครอบครองดินแดนบริเวณนั้น เพราะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย  แต่เหมือนจะเป็นเรื่องคู่กันเลยคือ ถ้ามีทรัพยากรเยอะ ก็จะมีนักการเมืองหรือผู้นำแย่ๆมาบริหารประเทศ  กลายเป้นวัฏจักรที่หมุนเวียนไม่จบไม่สิ้น เมื่อรัฐบาลขายทรัพยากรได้ ก็ต้องหักให้ครอบครัวผู้นำประเทศที่ถือครองสัมปทานและกิจการหลักๆภายในประเทศ กว่าจะผันมาเป็นงบประมาณแผ่นดินก็โดนไปหลายดอกแล้ว พอจะลงเม็ดเงินกระจายทำโครงการต่างๆทั่วประเทศก็ต้องฝ่าด่านองค์กรณ์ราชการขี้ช่อต่างๆ ข้าราชการน้อยใหญ่หาความสุจริตได้ยาก เพราะผู้นำไม่ได้เป็นแบบอย่าง การพัฒนาที่แท้จริงจึงไม่เกิดหรือเกิดน้อยมาก วิถีชีวิตของชาวตูนิเซีย และ ชาวอิยิปต์ จึงไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรดีขึ้นเลย ยากจนยังไงก็ยังยากจนอยู่อย่างนั้น ในขณะเดียวกันผู้นำทั้งสองประเทศต่างก็กอบโกยทรัพย์สินกันอย่างละโมบ มีบางรายงานกล่าวว่า ทรัพย์สินของทั้งสองคนนั้น มีมากกว่า แสนล้านดอลล่าสหรัฐ เงินเดือนดีอย่างนี้ไม่นานคำถามที่เราชอบถามเด็กอนุบาลว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ทั้งโลกคงต้องตอบเหมือนกันหมดแน่ว่าอยากเป็นประธานาธิบดี
สุดท้ายประชาชนทั้งประเทศก็อดรนทนใจไม่ได้เพราะทำมาหากินลำบาก ข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่มี ตกงาน เรื่องปากท้องไม่จำเป็นต้องมีอุดมการณ์อะไรสูงส่งหรอก ถึงแม้อุดมการณ์ในการเรียกร้องทางการเมืองจะต่างกัน แต่สุดท้าย เรื่องปากท้องก็หลอมรวมพลังประชาชนให้เป็นหนึ่งได้
2.การละเมิดมนุษยธรรม ส่วนที่สองนี้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้ไฟแห่งความเกรี้ยวกราดของประชาชนลุกท่วมบังลังค์อำนาจของผู้นำ สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกผู้เหล่ายึดถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งในการเป็นมนุษย์เลยก็ว่าได้ คือความเกลียดชังในความอยุติธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชนคือเรื่องร้ายแรงที่สุดในภาพรวมของความอยุติธรรมทั้งหลาย เราจะเห็นได้ว่า ช่วงแรกๆของการชุมนุมประท้วง ผู้คนไม่ได้มีมากมาย แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มให้ความรุนแรง ใช้อาวุธสงครามในการปราบปรามประชาชน ก็จะมีพลังแฝงของประชาชนที่รักความยุติธรรมเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งรัฐบาลใช้ความรุนแรงมากเท่าไหร่ ก็เหมือนเติมเชื้อไฟในกองเพลิงของประชาชน นำมาซึ่งพลังที่มหาศาลในที่สุด
3.อิสระในการเผยแพร่ข้อมูลบนโลกไซเบอร์ กุญแจสำคัญในการเผยแพร่ความรู้สึกร่วมและข้อมูลสำคัญๆที่จะโน้มน้าวการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ในการออกมาต่อสู้ หากเราย้อนในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาในบ้านเรานั้น เราจะพบว่า ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งใช้เวลานานมากในการรวมตัวเคลื่อนไหว การรับแนวคิดหรือความรู้สึกร่วมในความอยุติธรรมนั้นต้องผ่านหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ กว่าจะกระจายได้ทั่วประเทศก็ใช้เวลานานมาก จึงไม่สามารถที่จะดำเนินการใดๆแบบสายฟ้าแลบได้ แต่ในขณะที่เยาวชนที่ปฏิวัติรัฐบาลด้วยอินเตอร์เน็ตนั้น มีอาวุธที่เจาะเข้าแกนสมองส่วนความรู้สึกของผู้คนได้รวดเร็ว และ มีอิทธิพลอย่างรุนแรงมาก เพราะไม่ได้มีแค่ตัวหนังสือ หรือภาพถ่ายขาวดำนั้นที่ถ่ายทอดความรู้สึก แต่มีครบทั้ง ภาพนิ่งคมชัด วิดีโอ บทความ ทั้งหมดถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่ในประเทศเท่านั้น แต่หมายถึงทั่วทั้งโลก การปฏิวัตด้วยอินเตอร์เน็ตจึงเป็นการปฏิวัติที่ทันสมัยที่สุด มีงบประมาณน้อยมากๆ ไม่ต้องมีแกนนำในการชุมนุมที่ชัดเจนก็ทำได้
สิ่งที่เยาวชนในอิยิปต์และตูนิเซียทำได้นั้น จึงกลายเป้นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ให้เยาวชนส่วนอื่นๆของโลกได้ไปขบคิดกันต่อว่า ถ้าในมือเราทุกคน มีสิ่งมหัสจรรย์ที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ตแล้ว เราจะทำให้มันกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่มหาศาลได้อย่างไร
4.ขบวนการเคลื่อนไหวอิสลาม ในการประท้วงครั้งนี้หัวข้อนี้คงเป็นได้เพียงแค่พาดหัวเล็กๆเท่านั้น แต่ก็เป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้การเดินหน้าชุมนุมเป็นไปอย่างมีระบบ เพราะอย่างน้อยอุดมการณ์ของผู้คนที่จะทำเพื่อศาสนา ย่อมมีความคงทนมากกว่าของคนที่ต่อสู้เพื่อปากท้องเพียงอย่างเดียว ในการชุมนุมครั้งนี้อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเป็นการชุมนุมรูปแบบใหม่ที่ไร้ผู้นำชัดเจน แต่ก็ยังพอเห็นอย่างรางๆได้ว่า นั่งร้านที่คอยค้ำจุนโครงสร้างใหญ่ของการชุมนุมนี้คือขบวนการอิควานอัลมุสลีมูน ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ปกครองนั้น พยามสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของขบวนการนี้ แต่ก็อย่างที่บอกอีกนั่นแหละ คนเหล่านี้มีชีวิตเพื่อศาสนา ปากท้องจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความทุกข์ยากลำบากในการที่จะดำรงในอุดมการณ์อย่างแน่วแน่จึงกลายเป็นเหมือนความสุขอย่างหนึ่ง เพราะคนเหล่านี้รับรู้ว่า งานที่ยากลำบากย่อมแลกมาด้วยผลตอบแทนอันมหาศาล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับในโลกนี้ ก็ยังเชื่อมั่นเสมอว่าความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นกับตนแน่ๆ ผู้คนที่เฝ้ารอการหวนกลับมาของอิควานอัลมุสลีมูนทั่วโลกต่างจับจ้องไปยังโดมิโนทั้งสอง และจับจ้องไปยังขบวนเคลื่อนไหวอิสลามอื่นๆ ในว่าที่โดมิโนตัวต่อไปด้วย

ผมยังเชื่อมั่นว่า คงมีเยาวชนมุสลิมหลายล้านคนทั่วโลกที่มีความหวังว่าระบอบคิลาฟะฮจะกลับมาพร้อมกับการปฏิวัติดอกมะลิในครั้งนี้ คงไม่มีการงานใดที่จะมาด้วยความบังเอิญตลอดเส้นทางจนได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนเราได้รับความบังเอิญหลายประการมากมายที่เอื้อต่อการกลับมาของระบอบคิลาฟะฮจากโดมิโนในครั้งนี้ แต่ตราบใดที่ ปัจจัยข้อที่ 4 ไม่ได้เป็นปัจจัยแรกในการล้มล้างผู้นำทุศีลทั้งหลายแล้ว ก็คงยากที่เราจะเห็นการกลับมาของระบอบคิลาฟะฮ 
โอ้เยาวชนทั้งหลาย จงสร้างอุดมการณ์ให้เข้มแข็ง จงสร้างลูกหลานของท่านให้มีอุดมการรณ์ที่เข้มแข็ง อุดมการณ์ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติความดีงามที่ศาสนาสั่งใช้เท่านั้น แต่มันหมายถึง การที่ท่านสามารถเสียสละทุกสิ่งอย่างในชีวิตท่าน เพื่อศาสนาของท่าน มิเช่นนั้นแล้ว ชัยชนะของการปฏิวัติในครั้งต่อๆไปก็เป็นได้แค่เพียงชัยชนะของคนยากจนที่หิวโหยเท่านั้น เราต้องสร้างชัยชนะที่เกิดจากอุดมการณ์อันกล้าหาญ นั่นถึงจะเรียกว่าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อนั้น เราก็รอคอยการกลับมาของระบอบคิลาฟะฮอย่างภาคภูมิเสียที

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

review:ต้นส้มแสนรัก


ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของการรีวิว ผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองจินตนาการถึงชายคนหนึ่ง สูง 178 ซม. หนัก 72 กก. หน้าตาแย่ปะปนกับความหล่อ(ประมาณว่ามีสะเก็ดสิวกระจายทั่วหน้า แต่เค้าโครงเดิมหล่อมากกกส์) อุปนิสัยโหดร้าย นิยมความรุนแรง ใจแข็งยังกะเพรช แต่พอได้มาจับหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน กลับร้องไห้โฮกฮากอย่างไม่น่าเชื่อ ขอย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างบนนั่นมันเกิดขึ้นจริงกับผม โดยมีต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาคือ วรรณกรรมเยาวชน ที่ทุกครั้งที่มีคนแนะนำให้อ่านจะต้องแนะนำให้หากระดาษทิชชู่ตั้งไว้ใกล้ๆเสมอ ต้มส้มแสนรักนั่นเอง
ผมได้รับคำแนะนำจากบรรณาธิการของสมิอนาเล่มนี้ (ซึ่งก็มีสภาพทางกายภาพถึกไม่แพ้ผมเหมือนกัน) ว่าให้ลองของกันหน่อย เราก็จัดตามคำชวนของเพื่อน ไหนๆก็ไหนๆ ลองของงานนี้ไม่ต้องเตรียมกระดาษชำระให้เสียเวลา ท้าไว้เลยไม่เสียน้ำตาซักหยดแน่ ซักพัก เจ้าเด็กชาย เซเซ่ ก็แผลงฤทธิ์กับผมจนได้

เซเซ่ เด็กน้อยอายุ 6 ขวบ เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นอดีตชนชั้นกลาง แต่ดันมาตกงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สภาพการเงินของครอบครัวจึงแย่มาก แย่จนทำให้ต้องโยกย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากกันที่สลัม เซเซ่มีน้องชายคนหนึ่ง อายุ 4 ขวบน่าจะได้ อาจจะเป็นคนเดียวที่เซเซ่รักโดยไม่มีเหตุผล เหมือนที่แม่รักเรานั่นแหละไม่ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน  น้องชายเซเซ่ชื่อ หลุยส์ เจ้าเด็กคนนี้แหละที่เปิดบริสุทธิ์ต่อมน้ำตาของผมกับหนังสือเล่มนี้  ตอนหนึ่งที่เซเซ่ต้องพาหลุยส์น้องชายสุดที่รัก ออกไปเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์  บ้านที่ไม่มีแม้แต่เงินกินข้าวก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อของฉลองกันในบ้าน เซเซ่เลยต้องจรลีตัวเองและน้องออกไปหาความสุขนอกบ้าน ได้ยินเด็กๆบอกกันว่า ร้านขายของเล่นในเมือง เค้าแจกของเล่นให้ฟรีๆ จัดแจงแต่งตัวให้น้องสุดหล่อ แต่งตัวไม่พอต้องแต่งผมด้วย แต่ไม่รู้จะเซ็ทผมยังไง เหลือบไปเห็นน้ำมันหมู เลยเอามาทาผมของน้องชายตัวเอง พี่สาวของเซเซ่คนหนึ่งเห็นภาพที่น้องชายตัวเล็กๆของตัวเอง กระเตงจูงมือตัวน้องที่เล็กกว่า ก็ร้องไห้ “พยามเหลือเกินที่จะเอาของเล่นถูกๆ 2-3 ชิ้น เขาไม่ให้ของดีๆกับคนจนๆหรอก”(ฉากนี้น้ำตาเริ่มซึม) ด้วยเหตุที่น้องชายเล็กเกินกว่าจะเดินทางไกล เซเซ่ต้องแบกต้องหามหลุยส์ตลอดทาง การเดินทางจึงช้าลง และพลาดจากการได้ของขวัญฟรี  เซเซ่เสียใจมาก มากเกินกว่าความรู้สึกเสียใจที่เด็กอายุ 6 จะแสดงออกมาได้ ความเสียใจที่ทำให้เด็กน้อยที่ไร้เดียงสากว่าตนต้องพบกับความผิดหวัง ความบริสุทธิ์ในความรักที่เซเซ่มีต่อหลุยถึงกับทำให้เซเซ่สัญญากับหลุยส์ว่า ถ้าตนโตขึ้นจะซื้อรถสวยๆที่มีของขวัญเต็มรถ ถึงแม้จะต้องฆ่าใครซักคนเพื่อเป็นเจ้าของมันก็ตาม  หากพลังของความรักที่บริสุทธิ์มีอานุภาพเพียงพอที่จะทำให้ใครซักคนทำความผิดเพื่อให้คนที่ตนรักพึงพอใจ เซเซ่คงเป็นตัวอย่างด้านมืดให้คนเหล่านั้นได้

ด้วยความที่เซเซ่เป็นเด็กที่ฉลาดสามารถอ่านหนังสือได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน แต่น่าเสียดายที่ความฉลาดของเซเซ่กลับถูกมองข้ามจากคนในครอบครัว เซเซ่ มีจินตนาการสูงส่ง จินตนาการไปกระทั่งต้นส้มที่ตนเองปลูกและดูแลในสวนหลังบ้านนั้นสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดได้ อาจเพราะเซเซ่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง อาจเพราะโลกที่เซเซ่อยู่ไม่ได้สวยงามเหมือนดังโลกในจินตนาการของเซเซ่ เซเซ่จึงต้องปลีกตัวเองจากโลกความจริงเสมอ ต้นส้มของเซเซ่มีชื่อ มิงกินโย ห้ามเรียกมิงกินโยว่าเป้นต้นไม้น่ะ เพราะเซเซ่คิดว่า นี่คือคนคนหนึ่งเลยทีเดียว จินตนาการดีๆของเซเซ่มาจากการพูดคุยกับมิงกินโยนี่แหละ  
ชีวิตเซเซ่ได้รับความรักในรูปแบบของความรุนแรงตลอดเวลา เซเซ่จึงแสดงออกความรักในรูปแบบความรุนแรงด้วยเช่นกัน ครั้งหนึ่ง เขาบอกชายแก่ที่เป็นเพื่อนรักว่า เขาเกลียดชังพ่อที่ทุบตีเขาเหลือเกิน เขาจะฆ่าพ่อ แต่แล้วเมื่อเพื่อนต่างวัยทำหน้าตกใจ เซเซ่ก็ขยายความว่า
"ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่นายเลิกรักเขาแล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย" นั่นเพราะความรุนแรงที่เซเซ่แสดงออกมายังเปี่ยมไปด้วยความรัก ผมเองก็รู้สึกได้ว่าความรักทำให้ทุกสิ่งสวยงาม แม้จะเป็นความรุนแรงก็ตาม

ในละแวกที่เซเซ่อาศัยอยู่นั้น มีเศรษฐีชาวโปรตุเกสคนหนึ่งอาศัยอยู่ ทุกวันเด็กๆในละแวกนั้นจะมองชายคนนี้ขับรถหรูๆไปทำงาน  ความฝันของเซเซ่คือการได้เกาะท้ายรถคันนั้น และแล้วการเกาะท้ายรถหรูของเซเซ่ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเซเซ่ เซเซ่เกลียดชังเจ้าของรถคันนี้ที่สุด เซเซ่เรียกเค้าว่า โปรตุก้า(เป็นคำในเชิงดูถูก) เพราะโดนตีต่อหน้าสาธารณะ แต่โปรตุก้าคนนี้เองที่ทำให้เซเซ่ได้รู้จักกับความรัก และคุณค่าในตัวเอง คงจะป่วยการเกินไปที่จะบอกว่าเหตุใดเซเซ่ถึงได้รักโปรตุก้ามากมาย นอกจากท่าจะไปหาอ่านเอง เพื่อซึมซับความรักจากโปรตุก้าที่มีต่อเซเซ่ด้วย
และแล้วก็ถึงเวลาที่เซเซ่ต้องเข้าโรงเรียน ที่โรงเรียนเพื่อนนักเรียนของเซเซ่ช่างหลากหลายเหลือเกิน คุณครูของเซเซ่ก็เป็นคนดี ทุกเช้าเซเซ่จะเด็ดดอกไม้จากสวนของเพื่อนบ้านมาใส่แจกันเปล่าของครู ครูทราบเรื่องและต้องการลงโทษเซเซ่ คุณครูต้องการจะสอนบทเรียนเรื่องการขโมยให้เซเซ่ เซเซ่สวนกลับมาว่า “คุณครูยังให้เงินบางครั้งบางคราวไปซื้อขนมครูลเลอร์สอดไส้ไม่ใช่หรอฮะ”  จริงของเซเซ่การเอาดอกไม้จากเพื่อนบ้านที่มีเกินที่จะใช้จนเกะกะถือเป็นการแทนพระคุณของครู คุณครูถามต่อว่า “ครูให้ทุกวันได้แหละจ้ะ แต่เธอก็หายไปไหน.....”
ผมรับทุกวันไม่ได้หรอก มีเด็กที่ยากจนกว่าผมที่ไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน ผู้หญิงตัวดำๆเล็กขนาดผม เขาจนกว่าผมอีกฮะ ผู้หญิงคนอื่นไม่ชอบเล่นด้วยเพราะเขาตัวดำ แล้วก็จนเกินไป เขาเลยมักนั่งอยู่ที่มุมห้อง บางครั้งผมก็แบ่งขนมที่คุณครูให้เงินผมไปซื้อ คุณครูควรเอาขนมครูลเลอร์ไปแบ่งให้เขาบ้าง แม่สอนว่า เราต้องแบ่งให้คนที่ยากจนกว่าเรา”

เพราะผลิดอกของการแบ่งปันนั้นช่างสวยงามและน่าชื่นชมเสมอ ยิ่งในหมู่คนที่ยากลำบากแล้ว ยังพร่ำมองหาคนที่ลำบากกว่าตน เพื่อให้ตนกลายเป็นผู้ให้ ช่างสวยงามเสียจริง
เซเซ่ หนูรู้มั้ย หนูทำให้คนถึกๆอย่างผมใจอ่อนลงไปเยอะเลยตั้งแต่รู้จักหนู  ความคิดและความฝันของหนูช่างสวยงามเสียจริง สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของหนูคือความรักและการแบ่งปัน จินตนาการของหนูทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้เสียจริงๆ เป็นไปได้ ในตอนจบของเรื่อง หนูเข้มแข็งมากนะ ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตหนูต้องจากไป...............

สู่ความเข้าใจเรื่องบุหรี่




ขอความสันติจงมีแด่พี่น้องทุกท่านครับ

ลักษณะของต้นยาสูบและใบของมัน
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อาศัยอยุ่ในโลกเฟซบุค ทำให้ผมมีเวลาพอสมควรที่จะไปเยี่ยมบ้านของเพื่อนประชาชนคนอื่นๆ เวลาที่มีพอสมควรนั้นทำให้พบไปพบประชาชนบางคน ถกเถียงกันเรื่องบุหรี่ ว่าตามหลักการศาสนาแล้ว บุหรี่นั้นมัน ฮารอม หรือมักรูฮกันแน่ (ถ้าเถียงกันแบบว่า ฮารอมหรือฮาลาลก็พอว่าน่ะครับ แต่แค่เปลี่ยนจากฮารอมเป็นมักรูฮบุญมันก็ไม่ได้อยู่ดี) ประาชนบางคนก็ยกเอาบุหรี่มาเทียบกับเหล้า แล้วบอกว่ามันฮารอมเหมือนกัน คนทำให้ประชาชนอีกบางส่วนต้องออกมาชี้แจง
ผมเองความรู้ศาสนาคงมีไม่มากที่จะมาบอกว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ ตกลงมันฮารอมหรือมักรูฮ แต่ถ้าจะเอาเรื่องที่มันมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเราที่ชัด ผมมีเพียบครับ
ก่อนอื่นต้องขอเล่านิทานเรื่อง บุหรี่กับมะเร็งปอดก่อนนะครับ
จุดเริ่มต้นของนิทานเรื่องนี้ผมขอเริ่มจากการค้นพบบุหรี่ครั้งแรกของชาวโลกก่อนน่ะครับ
การค้นพบบุหรี่ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2035 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือชาวอิตาลี ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา เดินเรือไปขึ้นฝั่งที่ซันซัลวาดอร์ ในหมู่เกาะเวสต์อินดีส์ ได้เห็นชนพื้นเมืองนำใบไม้ชนิดหนึ่งมามวนและจุดไฟที่ปลายมวน แล้วดูดควัน หลังจากนั้น ยาสูบจึงเข้าสู่แผ่นดินยุโรป
คริโตเฟอร์  โคลัมบัส ขณะบุกเบิกทวีปอเมริกา
จากนั้นปี พ.ศ. 2103 ฌอง นิโกต์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส นำเมล็ดยาสูบไปปารีสและเผยแพร่ทั่วแผ่นดินยุโรป กระทั่งชาวฮอลันดานำไปเผยแพร่ทั่วเกาะอินโดนีเซียและพระกระจายทั่วทั้งเอเชียในที่สุด ชื่อของนิโกต์ จึงเป็นที่มาของชื่อสาร นิโคตินที่รู้จักในปัจจุบัน จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า บุหรี่มีการกำเนิดหลังจากยุคสมัยของท่านนบีนานถึง 900 กว่าปี เพราะฉะนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีฟัตวา หรือหลักการของศาสนา หรือบัญญัติของศาสนาที่จะกล่าวถึงบุหรี่ อย่างชัดถ้อยเจน ต่อให้อิหม่ามทั้งสี่มัซฮับก็คงไม่มีใครเคยเห็นและเอาบุหรี่มาสูบอย่างแน่นอน
การแพร่ขยายของวัฒนธรรมการสูบบุหรี่ที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2325 อุตสาหกรรมบุหรี่หันมาใช้เครื่องจักรแทนการมวนด้วยมือ บุหรี่จำนวนมหาศาลหลั่งไหลครอบคลุมโลก ภาพยนตร์ Hollywood มีส่วนทำให้การสูบบุหรี่แพร่ระบาดไปทั่วโลก จากการที่พระเอกและนางเอกเกือบทุกคนสูบบุหรี่ นายโรนัล เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ สมัยที่ยังเป็นพระเอกภาพยนตร์ ก็เคยเป็นนายแบบโฆษณาบุหรี่ แน่นอนในยุคสมัยนั้น บุหรี่คือเครื่องบันเทิงใจ ที่สูบแล้วให้ความสดชื่นกับชีวิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และเป็นวัฒณธรรมของชนชั้นสูงเสียด้วย
ผู้อ่านทุกท่านคงนึกไม่ถึงอย่างแน่นอนว่า การค้นพบว่าบุหรี่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายนั้น เพิ่งค้นพบมาเพียง 60 เท่านั้นครับ โดยใน
ปี พ.ศ. 2493 นายแพทย์เซอร์ริชาร์ด โดล จากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่า การเกิดมะเร็งปอดมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสูบบุหรี่
นายแพทย์ท่านนี้ใช้เวลานานกว่า 7 ปีในการพิสูจน์ให้คนอังกฤษทั้งเกาะเห็นว่าบุหรี่มีพิษภัยจริง การพิสูจน์ของนายแพย์ท่านนี้เริ่มต้นจากการพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่วนใหญ่มีประวัติสูบบุหรี่อย่างยาวนาน การค้นพบนี้ทำให้เค้าขยายการศึกษาอย่างจริงจังจนกระทั่งปี พ.ศ. 2505 ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งกรุงลอนดอน ประกาศเป็นทางการว่า การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอดและโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆการประกาศดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปทั่วสหรัฐอเมริกา เพราะในขณะนั้น มีชาวอเมริกาสูบบุหรี่อยู่ถึง 50 ล้านคน
บริษัทบุหรี่ในสหรัฐอเมริกา ออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันว่ายังไม่มีหลักฐานว่าการสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอดและความสัมพันธ์ที่พบ
ปอดปกติ กับ ปอดมะเร็ง
ปี พ.ศ. 2507 นายแพทย์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา นายแพทย์ลูเธอร์ แอลเทอร์รี่ และคณะทำงานได้รายงานสรุปว่า การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอดโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ และโรคหัวใจ
ข่าวนี้เป็นข่าวที่ช็อกชาวเมริกันและประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก เพราะตอนนั้นบุหรี่กลายเป้นอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ที่มีผลต่อเศรฐกิจของประเทศชาติ
พูดง่ายๆก็คือ เหมือนกับที่เรารู้ว่า การมีเพศสัมพันธ์ หรือการได้รับเลือดจากผู้ที่มีเชื่อ HIV จะทำให้เราเป็นโรค HIV แน่นอนฉันใด การสูบบุหรี่มากมายและยาวนานนั้นย่อมทำให้เราเป็นโรคมะเร็ง ปอด ถ้าไม่เป็นที่ปอดก็เป็นได้อีกหลายที่ ตั้งแต่กล่องเสียง หลอดอาหาร โรคหัวล้มเหลว ซึ่งอย่าให้ผมอธิบายเลยว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่ผมเห็นๆอยู่ทุกวันนั้นมีสถาพอนาถและทรมานเพียงใด ถ้าท่านเป็นมะเร็งปอดก็โชคดีหน่อยที่ไม่ต้องเจาะคอแล้วยังคงกินข้าวกินน้ำได้ ตอนตายอาจทรมานนิดนึงที่จะรู้สึกหายใจลำบากตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นมะเร็งกล่องเสียงหรือหลอดอาหาร ก่อนตายท่านก็อาจจะต้องทานอาหารด้วยการเจาะกระเพาะ แล้วยัดอาหารลงกระเพาะไปเลย เพราะทางเดินอาหารของท่านถูกทำลายเสียหมดแล้ว กว่าจะตายก็ใช้เวลาซักพัก ทรมานมากมาย

แน่นอนว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจที่มากมายมหาศาลย่อมได้รับการปกป้อง จากบรรดาผู้ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เหล่านั้น อาจจะรวมถึงการออกฟัตวาในยุคแรกๆที่ออกมาบอกว่าบุหรี่นั้นมักรูฮ สูบได้ไม่บาป แต่ไม่ได้บุญ เพราะการได้รับข้อมูลที่ไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบันนี้

ท่านผู้อ่านทั้งหลายก่อนที่ผมจะจบนิทานเรื่องนี้ ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ทุกการรายงานทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่นั้น ไม่มีซักรายงานเดียวที่อธิบายถึงประโยชน์ของมัน แต่ขณะที่เหล้านั้น ยังพอมีบ้างที่อธิบายว่ามันช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
และเมื่อมีการเปรียบเทียบ เหล้ากับบุหรี่ในทางการแพทย์นั้น บุหรี่คว้ารางวัลชนะเลิศในการก่อโรคต่างๆมากกว่าเหล้าเยอะแยะเลยครับ  สุดท้ายท่านผู้อ่านก็โปรดใช้วิจารณญาณของ่ทานเถิดครับที่อัลลอฮได้กล่าวว่า




และพวกเจ้าอย่าได้ฆ่าตัวของพวกเจ้า”  อันนิซาอ์ : 29 บุหรี่ควรเป็นหนึ่งในสาเหตุของการฆ่าตัวตายหรือเปล่าครับ แล้วในเมื่อคำสั่งของอัลลอฮชัดเจนขนาดนี้ ถ้ายังสูบกันอีกนี่ เราเรียกกันว่าอะไรหรอครับ

ยาเสพติด : วัฒนธรรมกระแสหลักแห่งเยาวชนชายแดนใต้





ซักเมื่อ  10 กว่าปีที่แล้ว ช่วงๆแรกที่มีการตื่นตัวของการต่อต้านกระแสตะวันตกในสังคมมุสลิม มีการพยามเชิญชวนให้เยาวชนมุสลิม ออกห่างจากสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรมตะวันตก” ด้วยการออกสโลแกน เป็น 3 M คือ Music  Movie  Mc’donal  หรือว่า 5 S คือ Sport  Song  Sex  Star Social  ไม่ว่าจะย่อด้วย 3 M หรือ  5 S ก้ตาม จะเห้นได้ว่า คนในโลกมุสลิมมองเห็นปัญหาของการตามกระแสทางความคิดเป็นเรื่องสำคัญ กลัวว่า เยาวชนมุสลิม จะคลั่งไคล้ในกีฬา บ้าดารา กินอาหารตะวันตก แสดงออกทางเพศอย่างไร้จริยธรรม หรือการมีสังคมที่ผิดแปลกไปจากสิ่งที่รูปแบบอิสลามได้สอน แน่นอนว่าการเป็นทาสทางความคิดนั้นเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ แต่การที่เรามัวแต่ปกป้องเยาวชนจากการเป็นทาสของวัฒนธรรมตะวันตกเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะปกป้องอนาคตเยาวชนของเราได้ จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 M และ 5 S ไม่มีการพูดถึง ยาเสพติดเลยทั้งๆที่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปัญหายาเสพติดก็ไม่ใช่เรื่องที่ยังไม่มี คนที่ติดยาเสพติดในสมัย 10 ปีที่แล้วคือ กลุ่มคนที่ไม่มีอนาคตที่สุดในหมู่บ้าน พูดง่ายๆคือเข็นไปทางอื่นไม่ไหวแล้ว ก็มาติดยากัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับเยาวชนทั้งหมู่บ้าน  จนกระทั่งปัจจุบัน ปัญหาเรื่องยาเสพติดนี้ได้กลายเป็นปัญหาหลักของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ทุกหมู่บ้านที่มีเยาวชนก็ต้องมีปัญหายาเสพติดควบคู่ไปด้วย เยาวชนที่แค่ไม่ติดยาเสพติดกลายเป็นกลุ่มคนที่ดีที่สุดในหมู่บ้านและแน่นอนเป็นส่วนน้อยของหมู่บ้านไปเลย ตามความคิดของผมเอง ปัญหายาเสพติดนี้มันน่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเรื่องความไม่สงบ สิ่งที่ทำลายล้างทั้งความคิดและชีวิตของความหวังของสังคม กลายเป็นประเด็นที่ถูกละเลยได้เช่นไร แล้วเราจะทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญที่เราๆท่านๆทั้งหลายที่พอจะเป็นความคาดหวังของสังคมมาร่วมกันรับรู้และแก้ปัญหานี้ร่วมกัน




การเริ่มต้นของปัญหา
1.ความเข้าใจบทบัญญัติที่คลาดเคลื่อน ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเริ่มต้นปัญหานี้ คือการที่ผู้รู้ที่มีความรับผิดชอบสำคัญในการปลูกฝังความคิดให้ลูกหลานนั้นมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในบทบัญญัติเกี่ยวกับยาเสพติดของศาสนาอิสลาม ความจริงแล้ว มุสลิมมีความเคร่งครัดอย่างมากกับเรื่องอาหารการกิน เช่นที่มุสลิมไม่กินหมู หรือมุสลิมไม่ดื่มเหล้า (ถึงแม้บางคนจะดื่มก็ดื่มแบบหลบๆซ่อนๆอยู่) เพราะเรื่องเหล่านี้ได้ถูกกล่าวอย่างชัดเจนในอัล-กุรอ่าน  และการปลูกฝังให้เยาวชนเกลียดชังกับความชั่วร้ายทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นไปอย่างเข้มข้น  ผมจะกล่าวถึงอายัตกุรอ่านที่กล่าวถึง เรื่องสุรา ที่อัลลอฮได้กล่าวไว้ใน ซูเราะฮ อัลมาอิดะฮ อายัตที่ 90 ว่า
ความหมาย:ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงติ้ว นั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ

ความคลาดเคลื่อนที่บรรดาผู้นำศาสนาในพื้นเข้าใจในอายัตนี้คือการเข้าใจคำว่า  خمر  ซึ่งความหมายโดยตรงตัวของมันคือเหล้า ก็แปลไปตรงๆว่ามันเป็นเหล้าอย่างเดียว โดยอ้างอิงหลักการทางฟิกฮเมื่อสมัยหลายร้อยปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า ในหลายร้อยปีที่แล้วสิ่งมึนเมามีเพียงไม่กี่ชนิด โลกยังไม่ค้นพบสารเสพติดที่มีฤทธิ์ทำให้มึนเมา(อาจจะกดประสาท กระตุ้นประสาท หลอนประสาทก็ได้)  โดยแท้จริงแล้วบรรดาผู้รู้ได้อธิบายความหมายของคำว่า خمر  อย่างชัดเจนว่าคือสิ่งที่ทำให้สติสูญหาย หรือสูญเสียสตินั่นเอง ดังนั้น ของมึนเมา สารเสพติดทุกชนิดจึงเป็นสิ่งที่อัลลอฮได้ห้ามไว้อย่างชัดเจน  เหมือนในเรื่องของบุหรี่ที่บรรดาผู้นำศาสนายังไม่กล้าฟันธงให้ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามแน่นอน เราจึงพบเห็นเด็กๆสูบบุหรี่กันอย่างกลาดเกลื่อน และบุหรี่นี่เองที่เป็นประตูสู่ยาเสพติดอันดับสูงกว่าอื่นๆ   น่าเสียดายที่การปลูกฟังให้เด็กๆตัวเล็กๆรังเกียจยาเสพติดทั้งหลายเหมือนที่รังเกียจเหล้านั้นไม่เกิดขึ้นซักทีในพื้นที่สามจังหวัด  หากการปลูกฝังเหล่าเรื่องพวกนี้เราสามารถทำได้สำเร็จก็จะเป็นเกราะป้องกันชั้นดีให้ลูกหลานเยาวชนของเราในอนาคต



                2.ภาวะไร้การศึกษาในหมู่เยาวชนมุสลิม ผมเชื่อว่าการศึกษาเป็นปราการที่สำคัญมากในการป้องกันเยาวชนจากปัญหายาเสพติด เหตุเพราะ การเรียนการสอนในประเทศไทยนั้นเป็นการบังคับให้นักเรียนต้องอยู่ในพื้นที่โรงเรียนอย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง แน่นอนว่าบริเวณพื้นที่ในโรงเรียนย่อมถูกเข้มงวดกวดขันในการดูแลเรื่องยาเสพติด นักเรียนที่เข้าไปในโรงเรียนย่อมมีความลำบากในการเสพยาเสพติดแน่นอน อีกทั้งตัวโรงเรียนเองโดยปณิธานของทุกๆโรงเรียนย่อมเหมือนกันคือ ทำให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถ การมีความรู้ความสามารถทำให้นักเรียนตระหนักถึงคุณค่าและหน้าที่ที่ตัวเองควรต้องปฏิบัติ รู้ถึงอันตรายของยาเสพติดที่จะมีต่ออนาคตของตัวเอง สถานะการเป็นนักเรียนจึงเป็นการป้องกันเยาวชนจากปัญหายาเสพติด แต่น่าเสียดายที่หลายๆครอบครัวไม่เข้าใจในความสำคัญของการศึกษา ไม่ได้เห็นว่าการศึกษานั้นเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการพัฒนาชีวิต จึงไม่ได้เข้มงวดกวดขันกับเรื่องการศึกษาให้ลูกมากนัก เมื่อลูกงอแงไม่อยากเรียนก็เห็นใจ ปล่อยให้ลูกอยู่บ้านเฉยๆ ตัวลูกเองยังเด็กเกินกว่าจะทำงาน ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ต้องไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน กลายเป็นสมาคมคนไม่เรียน สุดท้ายหากิจกรรมอะไรอื่นไม่ได้ก็ต้องจบด้วยการร่วมกันเสพยาเสพติด ปัญหาลูกโซ่ตามมาคือ ต้องใช้เงินในการเสพยา จึงต้องทำอาชญากรรมร่วมกันอีกเพื่อหาเงินมาเสพยา ปัญหาที่วนไปเวียนมาเช่นนี้เกิดขึ้นเกือบทุกพื้นที่ ดังนั้นทางแก้คือการเข้มงวดกวดขันให้ลูกหลานตั้งใจเรียน และต้องการมีอนาคตที่ดีต่อไป


                3.ความอ่อนแอของชุมชน เนื่องด้วยปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นปัญหาที่แทบจะมองหาความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลไม่ได้เลยในทัศนะของผม ความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความไม่สงบทำให้เป็นเรื่องยากมากในการที่กลไกรัฐจะเข้าถึงทุกซอกมุมของทุกชุมชน แต่กระนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าละอายเหลือเกินที่ชุมชนทุกชุมชนที่มีมัสยิด มีผู้ใหญ่บ้าน มีโตะอิหม่าม มีกำนัน มีนักการเมืองท้องถิ่น  เป็นมุสลิม แต่ไม่สามารถสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในรูปแบบอิสลามได้  เมื่อพ่อค้ายาเสพติดเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนในหมู่บ้าน เมื่อเด็กที่ต้มใบกระท่อม รวมกลุ่มกันเสพยา ต่างก็เป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้าน แต่ไม่ปรากฏบุคคลใดๆในชุมชนออกมาห้ามปราม นี่แสดงถึงความอ่อนแออย่างมากของชุมชนมุสลิมไม่เพียงไม่สามารถป้องกันลูกหลานของชุมชนแต่กลับกลายเป็นการส่งเสริมลูกหลานของชุมชนเข้าไปสู่ระบบยาเสพติดไปเรื่อยๆ  หากบรรดาผู้นำชุมชนมีความตระหนักในอำนาจและภาระหน้าที่ที่ตนเองมี  หากสมาชิกในชุมชนเป็นหูเป็นตาดูแลลูกหลานของชุมชนเหมือนลูกหลานของตนเอง หากทุกคนในชุมชนปฏิบัติตนในกรอบศาสนาอย่างเคร่งครัด เราคงมีชุมชนที่เข้มแข็งห่างไกลจากปัญหายาเสพติดเป็นแน่
 แน่นอนว่าการเผชิญหน้ากับอารยะธรรมแห่งความล้าหลังอย่างยาเสพติดนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนามากกว่าการเผชิญหน้ากับอารยะธรรมสมัยใหม่อย่างตะวันตกเพราะอารยะธรรมที่เผยแพร่มาแบบคาดไม่ถึงอย่างยาเสพติดหยุดยั้งได้ยากมาก  การสร้างความเข้มแข็งจากพื้นฐานของศาสนาที่ดีน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการป้องกันลูกหลานของเราในอนาคต แต่หากเราไม่ช่วยเหลือสังคมจากสภาพที่เลวร้าย ณ ปัจจุบันนี้แล้ว ก็ไม่แน่ว่า เราจะยังมีอนาคตที่ดีให้ลูกหลานของเราอีกหรือเปล่า