วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สังคมหลากหลาย

มนุษย์นั้นคืออิสระชน 
แม้จะมีกรอบข้อบังคับกฎระเบียบต่างๆเพื่อควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติแล้ว แต่มนุษย์ก็มีสิทธิในการเลือกจะทำหรือไม่ทำตามข้อตกลงเหล่านั้น ความต้องการเป็นอิสระของมนุษย์นั้นมีค่าเป็นอนันต์ หากเลือกได้ ทุกคนต้องการอิสระโดยไร้ข้อจำกัดใดๆของอิสรภาพ


เอกลักษณ์ของมนุษย์ที่นิยมในอิสรภาพ เป็นสาเหตุสำคัญของความแตกต่างกันของมนุษย์ อิสรภาพทางความคิด นำมาซึ่งการปฏิบัติที่แตกต่าง


เมื่อแรกเกิด สมองของมนุษย์นั้นว่างเปล่า เรามีเพียงสัญชาติญาณสำคัญบางอย่างที่ทำให้เราสามารถมีชีวิตได้ ทักษะในการร้องเมื่อหิวหรือไม่สบายตัว ทักษะในการดูดและกลืนนมแม่ ทักษะในการหายใจเข้าออกตามปริมาณอากาศที่ต้องการสันดาปพลังงาน เหล่านี้เป็นทักษะเริ่มต้นตามสัญชาตญาณมนุษย์ เราทุกคนล้วนเกิดมาในสภาพของผ้าขาวบริสุทธิ์


จนกระทั่งเมื่อสมองของเราพัฒนาด้านการฟังและการมองเห็น แวดล้อมทั้งกายภาพและชีวิภาพ กลายเป็นอาหารสำคัญของสมอง ที่จะพัฒนาเชื่อมต่อข้อมูลทั้งหลายที่เข้ามาจากการรับรู้สองประการนั่น เป็นอารมณ์ ความคิดอ่าน บุคลิกภาพการแสดงออก อิทธิพลของการพัฒนาความเป็นมนุษย์ทั้งหมดของคนหนึ่งคน จึงเริ่มต้นและมีกระบวนการเดียวกัน


ณ สภาพแวดล้อม ผู้ปกครอง ที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์แต่ละคนบรรจุข้อมูลที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ในรายละเอียด แทบจะบอกได้เลยว่า มนุษย์ทั้งหมดที่เคยมีชีวิตในสากลโลกนี้ ไม่มีอะไรที่รับรู้มาเหมือนกันอย่างแท้จริงแน่ๆ เมื่อรับรู้ไม่เหมือนกันแล้ว จึงนำมาซึ่งอีกภาวะหนึ่งคือ เราไม่สามารถผลิตมนุษย์ที่คิดเหมือนกันได้โดยสัมบูรณ์ ไม่ว่าจะสองคนหรือมากกว่านั้นก็ตาม


การดำรงอยู่ในสภาวะที่มีความคิดเห็นที่หลากหลายในสังคม เกิดขึ้นจากบริบทของข้อมูลที่รับมาแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ การวางคุณค่า (Value) ของทุกมิติในชีวิตมนุษย์ มีความหลากหลาย

คุณค่า ในที่นี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากว่าสิ่งใดคือความถูกต้อง สิ่งใดคือความไม่ถูกต้อง ตราบที่มนุษย์ไม่สามารถ รวบรวม จุดกำเนิดของความรู้และข้อมูลทุกสิ่ง ( Origin of the everything ) ให้เป็นหนึ่งเดียวได้ มนุษย์จำต้องยอมรับความหลากหลายที่เกิดขึ้นให้ได้

การปะทะกันในทุกระดับความสัมพันธ์ของมนุษย์ เมื่อพิจารณาดูดีๆ เราจะพบว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมด เกิดขึ้นเนื่องจาก การพิจารณา คุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งทับซ้อนกัน เมื่อทับซ้อนแล้ว นำมาซึ่งปรากฏการณ์ที่ตามมาที่ลดค่า หรือเพิ่มคุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือขับให้คุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป ( Marginalization )

ไล่ตั้งแต่ปัญหาในครัวเรือน ที่เมื่อภรรยามือใหม่ทำกับข้าวไม่ถูกปากสามี จนสามีตำหนิติเตียนอาหาร ก็เกิดจากการให้คุณค่าในสิ่งที่ต่างกัน ภรรยามองว่าคุณค่าของอาหารคือการตั้งใจทำให้สามีทานทั้งๆที่ในชีวิตไม่ใคร่ได้ทำอาหารให้ใครได้ทาน แต่สามีให้คุณค่าของอาหารด้วยรสชาต ครั้นเมื่อได้รับอาหารที่ไม่ถูกปาก ซึ่งเป็นคุณค่าสูงสุดที่สามีพิจารณาอาหาร ก็ออกปากตำหนิอาหาร นั่นเป็นการทับซ้อนกันของการให้คุณค่าอาหาร จนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น

การแสดงลักษณ์ของสังคมใดสังคมหนึ่ง หากจุดที่มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ควรแสดงเป็นอัตลักษณ์แตกต่างกัน ก็นำมาซึ่งปัญหาได้ ในความขัดแย้งระดับพื้นที่ หากคนกลุ่มหนึ่งเห็นคุณค่าการแสดงลักษณ์ควรเหมือนดั่งเช่นบรรพบุรุษได้ดำเนินกันมา ส่วนอีกกลุ่มมองว่าความศิวิไลซ์เช่นเดียวกับโลกที่อารยะทางวัตถุเป็นกันอยู่เป็นสิ่งมีคุณค่า และต่างฝ่ายต่างนำเสนอเพื่อให้คุณค่าในแบบที่ตัวเองตีความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดทั้งสองฝ่ายแล้ว อัตลักษณ์ที่คนในสังคมนั้นพึงต้องแสดง จะกลายเป็นข้อพิพาท เพราะการเห็นต่างของคุณค่าของอัตลักษณ์

ในปัญหาระดับประเทศ ที่ปริมาณน้ำมีจำกัด แต่มีคนต้องการใช้น้ำกันมาก ชาวนาเห็นคุณค่าของน้ำเป็นลมหายใจของผลิตผลการเกษตรของตัวเอง ซึ่งต่อทั้งลมหายใจของข้าวและตัวชาวนาไปด้วยกัน ส่วนฝ่ายปกครองมองว่าคุณค่าของน้ำอยู่ที่การได้เลี้ยงดูผู้คนตามบ้านเรือนปลายน้ำอีกหลายล้านคนให้มีน้ำกินน้ำใช้ไม่ขาดช่วง คุณค่าที่ขัดแย้งกันในบริบทของทรัพยากรที่มีจำกัดก็นำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้ง

เมื่อพิจารณาเรื่อง คุณค่า ที่ไม่ข้อขัดแย้ง เราจะพบว่าในสังคมที่มีการให้คุณค่าไปในทางเดียวกันทั้งหมด พื้นที่แห่งนั้นจะมีความสงบ สันติ ไม่ว่าคุณค่านั้นๆจะเป็นเรื่องประหลาดสำหรับคนอีกสังคมหนึ่งก็ตาม

สมมติตัวอย่างเช่น ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง ที่สร้างบริบทในการมอง คุณค่าสูงสุด ของสตรีเป็ฯเรื่องของการปกปิดเพื่อละอารมณ์ใคร่ ด้วยการแต่งกายแบบคลุมมิดชิปกปิดทั่วทั้งเรือนร่าง การแต่งกายเช่นนี้คือการให้คุณค่าแก่สตรี ณ บริบทของสังคมนั้น ร้อยทั้งร้อยของคนในสังคมเห็นเป็นเช่นเดียวกัน สตรีทุกคนที่อยากมีคุณค่าตามที่บริบทสังคมคิดเห็น ก็แต่งกายเช่นนั้น และยอมรับในเงื่อนไขอื่นๆที่เป็นอุปสรรคของการแต่งกายเช่นนี้ได้หมด ไม่ว่าจะร้อน จะอับ จะต้องใช้เนื้อผ้ามากก็ตาม หากคนทุกคนในสังคมเห็นเช่นเดียวกัน ก็จะไม่มีแรงขับต้านและไม่มีความขัดแย้งทั้งทางความคิดและการกระทำ 

จนเมื่อหากมีการปะทะกันทางความคิดของการให้คุณค่า จากอีกสังคมหนึ่ง ที่กำหนด คุณค่าสูงสุด เป็นเรื่องเสรีภาพและความสวยงามทางเพศสภาพ การแต่งกายของสตรีในบริบทอีกสังคมหนึ่ง ก็จะให้คุณค่าสตรีที่แต่งกายได้งดงาม เปิดเผยสัดส่วนธรรมชาติของสตรีบ้าง เพื่อให้มนุษย์อื่นๆได้ชื่นชมความงดงาม นี่ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งในการมองและให้คุณค่าในประเด็นเดียวกันคือ เครื่องแต่งกายสตรี ตราบที่สองความคิดนี้ไม่ปะทะและปะปนในชุมชนความคิดเดียวกันแล้ว ทั้งสองสิ่งจะเป็นสิ่งมีคุณค่า ในบริบทของของสังคมที่สอดรับกับคุณค่าที่สังคมให้ไว้

แต่หากวันหนึ่ง มีการนำ คุณค่า ของสังคมในบริบทหนึ่ง มาใช้กับอีกบริบทหนึ่ง เมื่อนั้นก็ต้องมีกระบวนการในการปะทะกันทาง คุณค่าที่สังคมนั้นๆได้ให้ไว้ จนเมื่อถึงจุดอิ่มตัวของการปะทะกันทางคุณค่า (Equilibrium state) สังคมจะได้ คุณค่าใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าสำหรับการให้คุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กระบวนการเช่นนี้ผมขอเรียกว่า วิวัฒนาการทางวัฒนธรรม
การวัดคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผ่านบริบทเดียว แบบที่เรายึดติดและให้คุณค่าเท่านั้น จะนำมาซึ่งการปะทะกันของทัศนคติและคุณค่าเสมอ 

จงอย่าลืมว่า คุณค่า และทัศนคติ ที่มาจากมนุษย์เจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้และที่ตายไปแล้วหลายพันล้านคน ไม่มีทางเหมือนกัน 

โลกที่สันติจริงๆมีอยู่สองทาง ทางแรกคือทำให้คนคิดเห็นเช่นเดียวกันหมด ทางที่สอง ให้มนุษย์นั้นมองเห็นคุณค่าสิ่งต่างๆให้แตกต่างกันได้ และอดกลั้นในความแตกต่างกัน


ข้อสรุป ณ จุดที่ผมเห็นโลกมาไม่กี่ปี บอกผมว่า เราไม่มีทางไปในจุดที่มีสันติจริงๆในโลกได้ ทั้งสองทางเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การทำให้คนทั้งโลกให้คุณค่าทุกเรื่องเป็นสิ่งเดียวกันเป็นไปไม่ได้ ส่วนการทำให้ทุกคนยอมรับคุณค่าทีแตกต่างกันโดยไม่ยุ่งคุกคามแก่กันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ตราบที่สถานะทางอำนาจของคู่กรณีไม่เทียมเท่ากัน หมอแผนปัจจุบันที่ลดพื้นที่ของหมอแผนโบราณ เพราะหมอแผนปัจจุบันเชื่อมั่นและให้คุณค่า ในการหาความรู้เชิงประจักษ์ ( Evidence base medicine ) ส่วนหมอแผนโบราณให้คุณค่าของความรู้ในฐานะที่เป็นความรู้ที่เร้นลับ สองคุณค่านี้ไม่มีทางพบกันได้ และเดิมพันของการให้คุณค่านี้คือชีวิตของมนุษย์ ความเชื่อมั่นในคุณค่าเช่นนี้ บวกกับสถานะของอำนาจในแพทย์แผนปัจจุบันสูงกว่า จึงลดพื้นที่ของแพทย์แผนโบราณไปเยอะ การมองคุณค่าแตกต่างกันในหลายๆประเด็น ที่เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย เป็นผลประโยชน์ เป็นเรื่องที่มีแรงจูงใจสูงในการเปลี่ยนแนวทางการให้คุณค่า จึงไม่สามารถรักษาให้การตีความคุณค่าที่หลากหลายเกิดขึ้นได้


ขอโทษที่เขียนอะไรยาวๆให้อ่าน 

หวังอย่างเดียวว่า เราๆทั้งหลายจะเข้าใจถึง คุณค่า และ ความเห็นต่างกันบ้าง หากเข้าใจประเด็นนี้ แล้วสันติจะมีมากขึ้นซักหนึ่งนาโนหน่วย ก็ดีใจแล้วครับ