วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

review:ต้นส้มแสนรัก


ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของการรีวิว ผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองจินตนาการถึงชายคนหนึ่ง สูง 178 ซม. หนัก 72 กก. หน้าตาแย่ปะปนกับความหล่อ(ประมาณว่ามีสะเก็ดสิวกระจายทั่วหน้า แต่เค้าโครงเดิมหล่อมากกกส์) อุปนิสัยโหดร้าย นิยมความรุนแรง ใจแข็งยังกะเพรช แต่พอได้มาจับหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน กลับร้องไห้โฮกฮากอย่างไม่น่าเชื่อ ขอย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างบนนั่นมันเกิดขึ้นจริงกับผม โดยมีต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาคือ วรรณกรรมเยาวชน ที่ทุกครั้งที่มีคนแนะนำให้อ่านจะต้องแนะนำให้หากระดาษทิชชู่ตั้งไว้ใกล้ๆเสมอ ต้มส้มแสนรักนั่นเอง
ผมได้รับคำแนะนำจากบรรณาธิการของสมิอนาเล่มนี้ (ซึ่งก็มีสภาพทางกายภาพถึกไม่แพ้ผมเหมือนกัน) ว่าให้ลองของกันหน่อย เราก็จัดตามคำชวนของเพื่อน ไหนๆก็ไหนๆ ลองของงานนี้ไม่ต้องเตรียมกระดาษชำระให้เสียเวลา ท้าไว้เลยไม่เสียน้ำตาซักหยดแน่ ซักพัก เจ้าเด็กชาย เซเซ่ ก็แผลงฤทธิ์กับผมจนได้

เซเซ่ เด็กน้อยอายุ 6 ขวบ เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นอดีตชนชั้นกลาง แต่ดันมาตกงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สภาพการเงินของครอบครัวจึงแย่มาก แย่จนทำให้ต้องโยกย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากกันที่สลัม เซเซ่มีน้องชายคนหนึ่ง อายุ 4 ขวบน่าจะได้ อาจจะเป็นคนเดียวที่เซเซ่รักโดยไม่มีเหตุผล เหมือนที่แม่รักเรานั่นแหละไม่ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน  น้องชายเซเซ่ชื่อ หลุยส์ เจ้าเด็กคนนี้แหละที่เปิดบริสุทธิ์ต่อมน้ำตาของผมกับหนังสือเล่มนี้  ตอนหนึ่งที่เซเซ่ต้องพาหลุยส์น้องชายสุดที่รัก ออกไปเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์  บ้านที่ไม่มีแม้แต่เงินกินข้าวก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อของฉลองกันในบ้าน เซเซ่เลยต้องจรลีตัวเองและน้องออกไปหาความสุขนอกบ้าน ได้ยินเด็กๆบอกกันว่า ร้านขายของเล่นในเมือง เค้าแจกของเล่นให้ฟรีๆ จัดแจงแต่งตัวให้น้องสุดหล่อ แต่งตัวไม่พอต้องแต่งผมด้วย แต่ไม่รู้จะเซ็ทผมยังไง เหลือบไปเห็นน้ำมันหมู เลยเอามาทาผมของน้องชายตัวเอง พี่สาวของเซเซ่คนหนึ่งเห็นภาพที่น้องชายตัวเล็กๆของตัวเอง กระเตงจูงมือตัวน้องที่เล็กกว่า ก็ร้องไห้ “พยามเหลือเกินที่จะเอาของเล่นถูกๆ 2-3 ชิ้น เขาไม่ให้ของดีๆกับคนจนๆหรอก”(ฉากนี้น้ำตาเริ่มซึม) ด้วยเหตุที่น้องชายเล็กเกินกว่าจะเดินทางไกล เซเซ่ต้องแบกต้องหามหลุยส์ตลอดทาง การเดินทางจึงช้าลง และพลาดจากการได้ของขวัญฟรี  เซเซ่เสียใจมาก มากเกินกว่าความรู้สึกเสียใจที่เด็กอายุ 6 จะแสดงออกมาได้ ความเสียใจที่ทำให้เด็กน้อยที่ไร้เดียงสากว่าตนต้องพบกับความผิดหวัง ความบริสุทธิ์ในความรักที่เซเซ่มีต่อหลุยถึงกับทำให้เซเซ่สัญญากับหลุยส์ว่า ถ้าตนโตขึ้นจะซื้อรถสวยๆที่มีของขวัญเต็มรถ ถึงแม้จะต้องฆ่าใครซักคนเพื่อเป็นเจ้าของมันก็ตาม  หากพลังของความรักที่บริสุทธิ์มีอานุภาพเพียงพอที่จะทำให้ใครซักคนทำความผิดเพื่อให้คนที่ตนรักพึงพอใจ เซเซ่คงเป็นตัวอย่างด้านมืดให้คนเหล่านั้นได้

ด้วยความที่เซเซ่เป็นเด็กที่ฉลาดสามารถอ่านหนังสือได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน แต่น่าเสียดายที่ความฉลาดของเซเซ่กลับถูกมองข้ามจากคนในครอบครัว เซเซ่ มีจินตนาการสูงส่ง จินตนาการไปกระทั่งต้นส้มที่ตนเองปลูกและดูแลในสวนหลังบ้านนั้นสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดได้ อาจเพราะเซเซ่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง อาจเพราะโลกที่เซเซ่อยู่ไม่ได้สวยงามเหมือนดังโลกในจินตนาการของเซเซ่ เซเซ่จึงต้องปลีกตัวเองจากโลกความจริงเสมอ ต้นส้มของเซเซ่มีชื่อ มิงกินโย ห้ามเรียกมิงกินโยว่าเป้นต้นไม้น่ะ เพราะเซเซ่คิดว่า นี่คือคนคนหนึ่งเลยทีเดียว จินตนาการดีๆของเซเซ่มาจากการพูดคุยกับมิงกินโยนี่แหละ  
ชีวิตเซเซ่ได้รับความรักในรูปแบบของความรุนแรงตลอดเวลา เซเซ่จึงแสดงออกความรักในรูปแบบความรุนแรงด้วยเช่นกัน ครั้งหนึ่ง เขาบอกชายแก่ที่เป็นเพื่อนรักว่า เขาเกลียดชังพ่อที่ทุบตีเขาเหลือเกิน เขาจะฆ่าพ่อ แต่แล้วเมื่อเพื่อนต่างวัยทำหน้าตกใจ เซเซ่ก็ขยายความว่า
"ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่นายเลิกรักเขาแล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย" นั่นเพราะความรุนแรงที่เซเซ่แสดงออกมายังเปี่ยมไปด้วยความรัก ผมเองก็รู้สึกได้ว่าความรักทำให้ทุกสิ่งสวยงาม แม้จะเป็นความรุนแรงก็ตาม

ในละแวกที่เซเซ่อาศัยอยู่นั้น มีเศรษฐีชาวโปรตุเกสคนหนึ่งอาศัยอยู่ ทุกวันเด็กๆในละแวกนั้นจะมองชายคนนี้ขับรถหรูๆไปทำงาน  ความฝันของเซเซ่คือการได้เกาะท้ายรถคันนั้น และแล้วการเกาะท้ายรถหรูของเซเซ่ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเซเซ่ เซเซ่เกลียดชังเจ้าของรถคันนี้ที่สุด เซเซ่เรียกเค้าว่า โปรตุก้า(เป็นคำในเชิงดูถูก) เพราะโดนตีต่อหน้าสาธารณะ แต่โปรตุก้าคนนี้เองที่ทำให้เซเซ่ได้รู้จักกับความรัก และคุณค่าในตัวเอง คงจะป่วยการเกินไปที่จะบอกว่าเหตุใดเซเซ่ถึงได้รักโปรตุก้ามากมาย นอกจากท่าจะไปหาอ่านเอง เพื่อซึมซับความรักจากโปรตุก้าที่มีต่อเซเซ่ด้วย
และแล้วก็ถึงเวลาที่เซเซ่ต้องเข้าโรงเรียน ที่โรงเรียนเพื่อนนักเรียนของเซเซ่ช่างหลากหลายเหลือเกิน คุณครูของเซเซ่ก็เป็นคนดี ทุกเช้าเซเซ่จะเด็ดดอกไม้จากสวนของเพื่อนบ้านมาใส่แจกันเปล่าของครู ครูทราบเรื่องและต้องการลงโทษเซเซ่ คุณครูต้องการจะสอนบทเรียนเรื่องการขโมยให้เซเซ่ เซเซ่สวนกลับมาว่า “คุณครูยังให้เงินบางครั้งบางคราวไปซื้อขนมครูลเลอร์สอดไส้ไม่ใช่หรอฮะ”  จริงของเซเซ่การเอาดอกไม้จากเพื่อนบ้านที่มีเกินที่จะใช้จนเกะกะถือเป็นการแทนพระคุณของครู คุณครูถามต่อว่า “ครูให้ทุกวันได้แหละจ้ะ แต่เธอก็หายไปไหน.....”
ผมรับทุกวันไม่ได้หรอก มีเด็กที่ยากจนกว่าผมที่ไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน ผู้หญิงตัวดำๆเล็กขนาดผม เขาจนกว่าผมอีกฮะ ผู้หญิงคนอื่นไม่ชอบเล่นด้วยเพราะเขาตัวดำ แล้วก็จนเกินไป เขาเลยมักนั่งอยู่ที่มุมห้อง บางครั้งผมก็แบ่งขนมที่คุณครูให้เงินผมไปซื้อ คุณครูควรเอาขนมครูลเลอร์ไปแบ่งให้เขาบ้าง แม่สอนว่า เราต้องแบ่งให้คนที่ยากจนกว่าเรา”

เพราะผลิดอกของการแบ่งปันนั้นช่างสวยงามและน่าชื่นชมเสมอ ยิ่งในหมู่คนที่ยากลำบากแล้ว ยังพร่ำมองหาคนที่ลำบากกว่าตน เพื่อให้ตนกลายเป็นผู้ให้ ช่างสวยงามเสียจริง
เซเซ่ หนูรู้มั้ย หนูทำให้คนถึกๆอย่างผมใจอ่อนลงไปเยอะเลยตั้งแต่รู้จักหนู  ความคิดและความฝันของหนูช่างสวยงามเสียจริง สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของหนูคือความรักและการแบ่งปัน จินตนาการของหนูทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้เสียจริงๆ เป็นไปได้ ในตอนจบของเรื่อง หนูเข้มแข็งมากนะ ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตหนูต้องจากไป...............

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น